“ต้นต้อง” หมู่บ้านเกษตรอินทรีย์

วันจันทร์ที่ 02 สิงหาคม พ.ศ. 2564

“ต้นต้อง” หมู่บ้านเกษตรอินทรีย์


แม้เกษตรอินทรีย์จะเป็นเทรนด์ใหม่ในตลาดโลก แต่การเปลี่ยนความคิดของเกษตรกรให้หันมาทำเกษตรอินทรีย์ก็ไม่ใช่เรื่องง่าย เนื่องจากความไม่เคยชินกับสิ่งใหม่ การเปลี่ยนความคิดเฉพาะบุคคลว่ายากแล้ว แต่การเปลี่ยนความคิดของคนทั้งหมู่บ้านให้เลิกการใช้สารเคมีแล้วหันเข้าหาเกษตรอินทรีย์แทน จนได้รับการยกย่องให้เป็นหมู่บ้านเกษตรอินทรีย์ระดับประเทศยิ่งยากกว่า “สยามธุรกิจ” มีโอกาสพูดคุยกับ “มานิต อุ่นเครือ” นายกองค์การบริหารส่วนตำบลพิชัย อำเภอเมือง จังหวัดลำปาง ถึงเรื่องราวความเป็นมาดังกล่าวว่าทำได้อย่างไร

               นายก อบต.พิชัย เล่าให้ฟังว่า ชุมชนบ้านต้นต้อง หมู่ 5 ต.พิชัย อ.มือง จ.ลำปาง เป็นหมู่บ้านทำการเกษตรหลายอย่าง โดยมีการทำนาเป็นอาชีพหลัก เมื่อก่อนก็ไม่มีปัญหาอะไร จนเมื่อสิบกว่าปี พืชผักขายยาก เพราะว่าเกษตรกรใช้สารเคมีเป็นหลัก คนที่ซื้อไปบริโภคเขารักสุขภาพก็ไม่ค่อยซื้อ พอไม่ค่อยซื้อก็ขายไม่ได้ จึงประสานไปยังอำเภอ จังหวัด และ ธ.ก.ส. เพื่อช่วยหาตลาดให้ แต่ก็ยังไม่ประสบผลสำเร็จ จึงมานั่งคุยกันระหว่างเกษตรกรกับหน่วยงานต่างๆที่เกี่ยวข้องอย่างเกษตรอำเภอ พัฒนาชุมชน ธ.ก.ส. ฯลฯ จนพบคำตอบว่าส่วนหนึ่งที่ตลาดมีปัญหาน่าจะเป็นเรื่องของสารเคมี ลองมาใช้ปุ๋ยอินทรีย์ดีไหม

               “ยอมรับว่าช่วงแรกมีปัญหามาก เพราะว่าเกษตรอินทรีย์ต้องใช้ขี้วัว ขี้ควาย ขี้ไก่ ซึ่งผลผลิตไม่เหมือนเคมี ความเร็วในการเติบโตต่างกัน แต่เราก็พยายามโน้มน้าวให้เขาเห็นว่าเคมีเห็นผลไวจริงอยู่ แต่ถามว่าตลาดต้องการไหม แต่ถ้าใช้อินทรีย์คนเดี๋ยวนี้รักสุขภาพกันเยอะนะ ถ้าไม่ลองให้ถึงที่สุดก็จะไม่รู้ว่าผลคืออะไร เพราะฉะนั้นเราต้องลองให้สุดๆ ควบคู่กับการประชาสัมพันธ์อย่างต่อเนื่อง ซึ่งทางเกษตรตำบลก็รับไป พัฒนาชุมชน หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับเรื่องไป รณรงค์ให้ผลิตแบบอินทรีย์” นายกอบต.กล่าวพร้อมขยายความต่อว่า “แต่ก่อนเคยใช้เคมีเยอะเกินไปก็ลดให้มากที่สุด ถ้าจะใช้ก็เพียงแค่เป็นตัวกระตุ้นเล็กๆน้อยๆเท่านั้น ปรากฏว่าได้ผล เกษตรตำบลเอาพืชผักไปตรวจหาสารพิษ สารเคมี อย่างเห็ดฟางเป็นศูนย์เลย การเพาะเห็ดบางพื้นที่จะใช้ยูเรียช่วย แต่ของเราบอกว่ายูเรียก็คือเคมี ถ้าไม่จำเป็นต้องใช้ก็ไม่ควรใช้ พอผลตรวจทางวิทยาศาสตร์ออกมาชัดเจนเราก็ประชาสัมพันธ์ให้สาธารณชนรับทราบจนเกิดการยอมรับ ปรากฏว่าขายดี ไม่ต้องไปขอให้อำเภอหรือจังหวัดหาตลาดให้ มีคนมาซื้อถึงที่”

               แม้จะรณรงค์จนชาวบ้านเข้าใจในเกษตรอินทรีย์ แต่ช่วงหนึ่งก็ไม่วายโดนพ่อค้าขาจรที่เข้าไปหลอกขายปุ๋ยอินทรีย์ปลอม พอเอามาใช้แล้วไม่ได้ผล แถมมีเมล็ดพันธุ์วัชพืชต่างถิ่นออกมาเยอะ ทำให้ชาวบ้านหลายคนมีทัศนคติด้านลบต่อปุ๋ยอินทรีย์ ทำให้ต้องล้มลุกคลุกคลานอีกพักใหญ่

               “ทางพัฒนาที่ดินจังหวัดลำปางก็ส่งเสริมให้ทำปุ๋ยน้ำหมัก รวมถึงแนะนำการไถกลบบำรุงดิน ปลูกปอเทือง เราก็ทำตามคำแนะนำ ผลปรากฏว่าเอาไปตรวจไม่ถึงขั้นปลอดสารพิษ แต่ปลอดภัย เพราะว่าสารเคมีไม่ได้มีเฉพาะพื้นที่ทำการเกษตร แต่กระจายไปทั่ว คู คลอง หนองน้ำ บางรายเวลาปลูกข้าวใช้สารเคมีคลุมหญ้า พอเก็บเกี่ยวเสร็จไปปลูกผักอินทรีย์ ผลไปเกิดที่ผักอีก ก็ต้องลุยแก้ปัญหาที่ต้นตอ เน้นใช้ปุ๋ยหมักของตัวเอง เกษตรชุมชนก็ตรวจตลอด จนดีขึ้นมาเรื่อยๆ เรื่องไปถึงโรงพยาบาลศูนย์มะเร็ง โรงพยาบาลศูนย์ลำปาง เขาก็รับซื้อผลผลิต พอรับซื้อทางพัฒนาชุมชนก็มาสอนให้ชุมชนค้าขายทางออนไลน์ เฟสบุ๊ค ไลน์ เลยเป็นความต้องการในวงกว้าง บางฤดูไม่มีผักให้เขา ได้รับรางวัลด้านอาหารปลอดภัยมากมาย ได้รับการยกย่องให้เป็นหมู่บ้านอยู่เย็นเป็นสุข”

               นายกอบต.เล่าต่อว่า นโยบายนี้ถูกกระจายไปทุกหมู่บ้านในพื้นที่ตำบลพิชัย แต่ว่าบางหมู่บ้านก็ยังไม่พร้อมรับการเปลี่ยนแปลงเหมือนหมู่บ้านต้นต้อง ประกอบกับช่วงหนึ่งที่ถูกพ่อค้าจรมาหลอกขายปุ๋ยอินทรีย์ แจกน้ำหมัก เปิดจองปุ๋ยแล้วหายไปเลย ชาวบ้านหลายคนเลยเข็ดไม่กล้าทดลองอีก ก็คิดว่าจะต้องทำต่อไป แต่ช่วงนี้ติดโควิด-19 การเดินทางลำบาก งานจึงค่อนข้างติดขัด ประกอบกับงานในความรับผิดชอบของนายกอบต.ค่อนข้างมาก ไม่มีโอกาสลงไปคลุกคลีได้เต็มที่ จึงมอบนโยบายแล้วให้สมาชิกอบต. (นิกร ด้วงคำฟู) ประสานงานต่อ คุยกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าไปช่วยเหลือ แม้กระทั่งมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลล้านนาก็มาช่วยแก้ไขโรคโคนเน่า แนะนำการกางมุ้งผัก เป็นต้น

               “เราเริ่มแนวคิดการทำเกษตรอินทรีย์มาตั้งแต่ปี 2550 แต่เริ่มเห็นผลประมาณปี 2552-2553 ซึ่งเป็นช่วงที่คนหันมาใส่ใจเรื่องสุขภาพมากขึ้น ต้องยอมรับว่าผักอินทรีย์รูปร่างไม่สวยเหมือนเคมี ซึ่งก็มีคนหัวหมอไปแต่งให้ผักเป็นรูเหมือนตัวหนอนกิน ด้วยการเอาทรายไปคั่วให้ร้อนแล้วหว่านเพื่อให้ผักเป็นรู แต่พอไปตรวจก็ไม่ผ่าน สุดท้ายเราต้องเข้าไปสร้างความเข้าใจให้เขาปฏิบัติเกษตรอินทรีย์จริงๆ สอนเขาว่าต้องพูดความจริงนะ ห้ามหลอกลูกค้า ให้เขาไปดูที่เราปลูกได้เลย ช่วงแรกเราเน้นส่งเสริมคนมีที่ดินติดถนน เวลาคนในเมืองมาปั่นจักรยานช่วงเช้าหรือช่วงเย็น เขาจะได้เห็นและมั่นใจว่าไม่ใช้สารเคมี เพราะเห็นกระบวนการปลูกทุกขั้นตอน แม้ราคาจะสูงกว่าผักที่ใช้สารเคมีเขาก็เต็มใจซื้อ เราก็ใช้โอกาสตรงนี้บอกกับชาวบ้านว่าเห็นไหมว่าผักอินทรีย์ดีตรงนี้ ราคาก็แพงกว่า สุขภาพของทั้งคนปลูกคนกินปลอดภัยกว่า ผักที่ปลูกด้วยปุ๋ยเคมีกับอินทรีย์ก็ต่างกัน ถ้าซื้อมาเก็บไว้ผักเคมี 2-3 วันเล๊ะหมด แต่อินทรีย์จะเหี่ยวแห้งแต่ไม่เน่า ก็เป็นอีกจุดที่เขานำไปเล่าขานต่อๆกัน สร้างกระบวนการเรียนรู้ให้เห็นของจริง เขาก็นำไปประยุกต์ต่อยอดกัน”

               ในขณะเดียวกัน หากมีการประพฤติผิดกฎ สมาชิกจะลงโทษกันเอง โดยไม่รับซื้อพืชผลจากสมาชิกคนนั้น เนื่องจากผิดข้อตกลง และมีการพูดต่อกันทั้งหมู่บ้าน จนไม่มีใครกล้าทำผิดกฎ เพราะปลูกแล้วไม่ได้ขาย

               “เรื่องยากที่สุดในการทำโครงการเกษตรอินทรีย์คือการเปลี่ยนความคิด เมื่อแนะนำเขาแล้วต้องช่วยสร้างกลุ่ม ซึ่งการรวมกลุ่มตอนแรก็มีปัญหา เพราะสมัยก่อนพวกเขามีอิสระในการผลิตและขาย ใครจะขายเท่าไหร่ก็ได้ ก็อธิบายกับเขาว่าต่างคนต่างทำ ต่างคนต่างขายนี่แหละคือการล่มสลายของอาชีพเกษตร ถ้าเรายังไม่รวมกลุ่มกันก็ไม่มีอำนาจในการต่อรองหรือรับการช่วยเหลือใดๆเลย ต่างคนต่างขายก็ได้ แต่ห้ามตัดราคากันเด็ดขาด ต้องคุยกันว่าผักชีเท่าไหร่ ต้นหอมเท่าไหร่ ถั่ว แตง ต้องถือเป็นมาตรฐานเดียวกันทั้งหมด ช่วงแรกยากมาก แต่ปัจจุบันไม่มีปัญหา ไม่มีการร้องเรียน”

               สำหรับปัญหาการระบาดของไวรัสโควิด-19 หลายพื้นที่อาจได้รับผลกระทบ แต่หมูบ้านต้นต้องไม่มีปัญหาเลย

               “ช่วงโควิด-19 กลุ่มเห็ดกับกลุ่มปลูกผักไม่กระทบเลย อาจจะดีด้วยซ้ำ เพราะว่าเขาไม่ไปตลาด กลัวคนแออัด ก็เลยมาซื้อถึงสวน ตอนนี้ผมก็พยายามประสานงานกับชลประทาน จะขอนำคันคลองชลประทานที่ว่างๆมาปลูกผัก ทำเป็นราว สร้างรายได้เสริมให้กับชาวบ้านอีกทางหนึ่ง”

               นอกเหนือจากความโดดเด่นด้านเกษตรอินทรีย์แล้ว หมู่บ้านต้นต้องยังถือเป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงการเกษตรอีกด้วย

               “หมู่บ้านต้นต้องได้รับการคัดสรรจากจังหวัดลำปาง ให้เป็นหมู่บ้านท่องเที่ยวปลายทางฝันในเชิงการเกษตรและสิ่งแวดล้อม เราไม่ได้สนับสนุนเฉพาะการทำเกษตรอินทรีย์ แต่สนับสนุนตามความถนัดของชุมชน เพราะนอกจากการเกษตรแล้วยังมีมีกลุ่มดอกไม้ประดิษฐ์ กลุ่มเย็บผ้า กลุ่มป่าชุมชน นักท่องเที่ยวสามารถมาชื่นชมธรรมชาติกึ่งเมืองกึ่งชนบท ศึกษาในเรื่องความสำเร็จของชุมชน การดูแลสิ่งแวดล้อม มากกว่ามาท่องเที่ยวโดยตรง”

               ก่อนจบบทสนทนา นายกอบต.พิชัย มีคำแนะนำสำหรับเกษตรกรรุ่นใหม่ว่า

               “เกษตรกรรุ่นใหม่ต้องเลิกคิดเรื่องเคมีเด็ดขาดเลย ถ้ายังคิดเรื่องเกษตรเคมีโอกาสไปต่อลำบาก ต้องมีความซื่อสัตย์ความจริงใจในการผลิตพืชผลที่สามารถจับต้องได้ ผลผลิตทางการเกษตรไม่มีทางตัน เพราะเป็นของต้องกินต้องใช้ทุกวัน  ผมอยากเห็นคนรุ่นใหม่ทำเรื่องเกษตรอินทรีย์ ต้องเปลี่ยนความคิดให้ได้ รู้วิธีในการทำให้ดินมีธาตุอาหาร เช่น การไถกลบ ไม่ใช้การเผา ถ้าเรารู้วิธีก็สามารถทำการเกษตรเป็นอาชีพหลักของเราได้เลย อย่าลืมว่าบางครั้งวิชาการก็ใช้ไม่ได้ 100% ต้องบวกภูมิปัญญาด้วย ความรู้คู่ประสบการณ์ บางทีเรามีความรู้ จบเกษตรมาโดยตรง แต่ทำแล้วไม่สำเร็จก็มี ถ้าหากมีความรู้มาหาผู้ที่มีประสบการณ์ ก็จะได้สูตรผสมที่ลงตัว ลดขั้นตอนทางทฤษฎี ปัจจุบันคนรักสุขภาพมีเยอะมาก เวลาเราให้คนที่มาเยี่ยมเยียนรับประทานผัก เขาก็จะถามว่าผักนี้ทำไมหวาน กรอบ เพราะเป็นผักสด ปลอดสารพิษ เขาก็จะช่วยเราประชาสัมพันธ์ต่อไป ขยายผลไปยังพื้นที่อื่นๆได้ ใช้หลักการ “ทำ” นำหน้า ให้ “ทำ” เป็นตัวสอน ถ้าเราทำดีแล้วมีคนทำตามนั่นแหละคุณสมบัติของผู้นำจะสมบูรณ์ 100%"

              

                   



บริษัท สมาร์ท โกลด์ มีเดีย กรุ๊ป จำกัด SMART GOLD MEDIA GROUP CO.,LTD. ติดต่อสอบถาม โทร : 0893284192 , ID Line : @siamturakij และ ฝ่ายโฆษณา siamturakijadvertising@gmail.com
© 2013 สยามธุรกิจ