กสศ.จับมือรัฐ-เอกชนระดมช่วยเหลือเด็ก-หวั่นกำพร้าเพิ่มจากวิกฤตโควิด

วันอังคารที่ 17 สิงหาคม พ.ศ. 2564

กสศ.จับมือรัฐ-เอกชนระดมช่วยเหลือเด็ก-หวั่นกำพร้าเพิ่มจากวิกฤตโควิด


ห่วงเด็กกำพร้าเพิ่มจากโควิด เดินหน้าศูนย์ช่วยเหลือเด็กโควิด-19  ผนึกกำลังหน่วยงานรัฐ-เอกชน-ภาคประชาชน ดูแลเด็กเชิงรุก ป้องกันหลุดนอกระบบการศึกษา  พร้อมเปิดสายด่วน 1300 รับแจ้งเบาะแสเด็กกลุ่มเสี่ยง ระดมอาสาสมัครดูแลเด็กกลุ่มเสี่ยง เผยตัวเลขเด็กติดเชื้อพุ่งจาก 366 ราย เป็น 18,879 รายต่อสัปดาห์ ห่วงเด็กมีโรคประจำตัวเสี่ยงป่วยหนักกว่าเด็กปกติ เล็งฉีควัคซีนในกลุ่มเด็กลดป่วยรุนแรง-เสียชีวิต

 

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า กองทุนเพื่อความเสมอภาคการศึกษา (กสศ.) พร้อมด้วยนางสุภัชชา สุทธิพล อธิบดีกรมกิจการเด็กและเยาวชน (ดย.) กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ นพ.สมศักดิ์ อรรฆศิลป์ อธิบดีกรมการแพทย์ พญ.พรรณพิมล วิปุลากร อธิบดีกรมสุขภาพจิต ศ.ดร.สมพงษ์ จิตระดับ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ภาคประชาสังคม กสศ. นางสาวนิโคล่า บลั้น รักษาการหัวหน้าฝ่ายคุ้มครองเด็ก องค์การยูนิเซฟประเทศไทย และนายคริส โปตระนันทน์ พร้อมสมาชิกกลุ่มเส้นด้าย ร่วมแถลงข่าวออนไลน์ศูนย์ช่วยเหลือเด็กโควิด-19 รายงานข้อมูล แนวโน้มสถานการณ์ และการช่วยเหลือครอบคลุมทุกปัญหาเร่งด่วน

นางสุภัชชา สุทธิพล อธิบดีกรมกิจการเด็กฯกล่าวว่า  สถานการณ์ปัจจุบันพบเด็กติดเชื้อโควิด-19 ล่าสุด 2,900 คน ติดเชื้อสะสม 96,393  คน และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น เนื่องจากเด็กเป็นกลุ่มเปราะบาง ต้องได้รับการดูแลเป็นพิเศษ แต่การดูแลไม่สามารถทำได้โดยหน่วยงานเดียว กระทรวงการพัฒนาสังคมฯจึงได้ร่วมกับกสศ., กรมสุขภาพจิต และองค์การยูนิเซฟฯตั้งศูนย์ช่วยเหลือเด็กโควิด-19 เพื่อเป็นศูนย์กลางประสานบริการของหน่วยงานภาครัฐ องค์กรเอกชน ภาคประชาสังคม  

โดยเป้าหมายครอบคลุมตั้งแต่กลุ่มแรกเกิดจนถึงอายุ 18 ปี ดังนี้  1.กลุ่มเด็กติดเชื้อ และพ่อแม่หรือผู้ปกครองติดเชื้อ 2. กลุ่มเด็กติดเชื้อ แต่พ่อแม่หรือผู้ปกครองไม่ติดเชื้อ 3. กลุ่มเด็กไม่ติดเชื้อ แต่พ่อแม่หรือผู้ปกครองติดเชื้อ 4. กลุ่มที่ทั้งเด็กและพ่อแม่หรือผู้ปกครองไม่ติดเชื้อแต่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ และ 5. กลุ่มเด็กที่กำพร้าบิดาหรือมารดา หรือกำพร้าทั้งบิดามารดา หรือผู้ปกครองที่เป็นผู้ดูแลเสียชีวิตจากโควิด-19โดย เน้นการดูแลที่ใช้ครอบครัวเป็นฐานและการรักษาความสัมพันธ์ของเด็กและครอบครัว

อธิบดีกรมกิจการเด็กฯ กล่าวว่า ศูนย์ฯได้เปิดมาตั้งแต่วันที่ 10 ส.ค. โดยเคสที่น่าเป็นห่วงคือประเด็นเด็กที่ไม่มีผู้ปกครองดูแล และเด็กกำพร้าที่เพิ่มมากขึ้น ข้อมูล ณ วันที่ 15 ส.ค.พบว่ามีถึง 182 คน ทั้งกำพร้าบิดา,มารดา หรือกำพร้าทั้งบิดาและมารดา โดยกระบวนการช่วยเหลือจะมีผู้จัดการรายกรณี ระยะเร่งด่วนคือให้เด็กมีผู้ดูแลและปลอดภัย และประสานหน่วยงานเครือข่ายให้การช่วยเหลือด้านกาย จิต สังคม ประกอบไปด้วย 1. การเข้าถึงบริการด้านการตรวจเชื้อและการรักษา 2.การพยาบาลทางจิตใจ เพื่อลดความวิตกกังวล

3.จัดบริการเพื่อให้เข้าถึงสิทธิสวัสดิการสังคม เช่น กองทุนคุ้มครองเด็ก เงินสงเคราะห์เด็กในครอบครัวยากจน นอกจากนี้ยังรวมถึงถุงยังชีพ ถุงการเรียนรู้ เพื่อเด็กในภาวะวิกฤติอีกด้วย  4.ระบบการเลี้ยงดูทดแทน  ทั้งแบบฉุกเฉินสำหรับเด็กกลุ่มสัมผัสเสี่ยง และการเลี้ยงดูทดแทนแบบชั่วคราวสำหรับเด็กที่พ้นระยะกักตัว  14 วันที่พ่อแม่ ผู้ปกครองยังไม่พร้อมในการรับเด็กกลับไปเลี้ยงดู  5.ทุนสร้างโอกาสเพื่อป้องกันเด็กหลุดออกนอกระบบการศึกษา 

“การทำงานของศูนย์ช่วยเหลือเด็กโควิด – 19 เป็น virtual center เชื่อมโยงฐานข้อมูลการช่วยเหลือแบบไร้รอยต่อ เน้นบุคลากร อาสาสมัครในพื้นที่ทั่วประเทศเป็นสำคัญเพื่อเข้าถึงเด็กได้อย่างรวดเร็ว   ประชาชนทั่วไปสามารถประสานแจ้งเหตุผ่านช่องทางต่างๆ ทั้ง สายด่วน 1300  ติดต่อผ่านบ้านพักเด็กและครอบครัวทั้ง 77 จังหวัด และแอปพลิเคชั่นคุ้มครองเด็ก และความร่วมมือล่าสุด 4 หน่วยงานคือ  แอปพลิเคชั่นไลน์ : @savekidscovid19 มีทีมทำงานตลอด 24 ชั่วโมง เพื่อไม่ให้มีเด็กและครอบครัวตกหล่นจากการช่วยเหลือ” นางสุภัชชา กล่าว

นพ.สมศักดิ์ อรรฆศิลป์ อธิบดีกรมการแพทย์ กล่าวว่า  มีติดเชื้อโควิด-19 เพิ่มขึ้น จากสถิติสัปดาห์ที่ 33  จาก 366 รายต่อสัปดาห์ เป็น 18,879 รายต่อสัปดาห์ ล่าสุดพบว่ามีเด็กเสียชีวิตแล้วกว่า 10 ราย  โดยเฉพาะในช่วง 2-3 สัปดาห์ที่ผ่านมาเราจะเห็นตัวเลขเด็กป่วยติดเชื้อต่อสัปดาห์เพิ่มขึ้นเกินหมื่นราย โดยกลุ่มที่น่าห่วงที่สุดคือกลุ่มเด็กเล็ก และมีโรคประจำตัว เมื่อป่วยจะมีอาการหนักและรุนแรงกว่าเด็กปกติที่ ขณะที่สาเหตุการติดเชื้ออาจมาจากมีปฏิสัมพันธ์กับคนในครอบครัว เช่น หอม กอด เป็นต้น

“สำหรับประเด็นการแพร่เชื้อในครอบครัว สถาบันสุขภาพเด็ก อาจฉีดวัคซีนให้กับเด็กที่อายุต่ำกว่า 12 ปี และมีโรคร่วม เนื่องจากห้ามการติดเชื้อค่อนข้างยาก ดังนั้นวัคซีนจะเป็นคำตอบช่วยลดป่วยหนักและลดการเสียชีวิตในเด็กที่มีปัญหาโรคประจำตัวได้ แต่ต้องดูว่าวัคซีนสามารถพัฒนาประสิทธิภาพได้ขนาดไหน นี่เป็นสิ่งที่นักวิทยาศาสตร์ทั่วโลกกำลังเร่งศึกษาพัฒนา" นพ.สมศักดิ์ กล่าว

นพ.สมศักดิ์ กล่าวว่า ที่ผ่านมากรมฯได้ดูแลเด็กเล็กๆ เช่นการทำงานผ่านศูนย์สร้างสุขทุกวัยที่เกียกกาย เขตดุสิต โดยรับดูแลเด็กตั้งแต่อายุ 7 ปีขึ้นไป ไม่สามารถรับครอบครัวได้ แต่ถ้าเป็นสถาบันเด็กจะเปิดรับทั้งแม่และลูก มีเตียงรอรับเพียง 100 เตียง ปัจจุบันตอนนี้กรมการแพทย์กำลังทำ Community Isolation ภายในค่ายทหาร สามารถรองรับผู้ป่วยได้ทั้งครอบครัว แต่ภายใต้เงื่อนไขว่าอาการต้องไม่หนักทั้งคู่ เพราะ CI เป็นการเปิดรับทุกเพศทุกวัย

ศ.ดร.สมพงษ์ จิตระดับ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ  กสศ.กล่าวว่า กสศ.สนับสนุน กลไกอาสาสมัครคุณภาพเข้ามาเป็นตัวช่วยให้เด็กกลุ่มเปราะบางเข้าถึงการดูแลรวดเร็วขึ้น รวมถึงเป็นกำลังเสริมให้แก่หน่วยงานหลักต่างๆ เช่น อาสาสมัครครูทั้งในระบบและนอกระบบในชุมชนต่างๆ อาสาสมัครเยาวชน ช่วยรับส่งผู้ป่วยเด็ก การส่งชุดยา เครื่องมือติดตามอาการหรืออุปกรณ์ช่วยชีวิต ในกรณีจำเป็นเร่งด่วนตลอด 24 ชม

นอกจากนี้ยังร่วมกับกระทรวงพัฒนาสังคมฯสนับสนุนระบบอาสาสมัครดูแลเด็กสัมผัสเสี่ยงสูง ที่ไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้ ระหว่างระยะเวลากักตัว 14 วัน ในสถานที่กักตัว, ดูแลเด็กป่วยติดเชื้อในสถานพยาบาลทุกรูปแบบ, อาสาสมัคร เยี่ยมเด็กและครอบครัวในพื้นที่ชุมชน และอาสาสมัครเลี้ยงดูเด็กชั่วคราวในครอบครัวอุปถัมภ์  ซึ่งจะเปิดรับอาสาได้เต็มรูปแบบภายเดือนสิงหาคมนี้  โดยมีค่าตอบแทนให้ แม้อาจไม่มากแต่จะทำให้มีรายได้หมุนเวียน  

“เด็กกำพร้า เป็นกลุ่มที่น่าเป็นห่วงมากที่สุด  รองลงมาคือพ่อแม่ตก งานยากจนเฉียบพลัน การฟื้นฟูเยียวยาต้องทำทันที โดย กสศ. เน้นป้องกันเด็กหลุดนอกระบบการศึกษา  จึงจัดให้มีทุนสร้างโอกาสทางการศึกษาสำหรับเด็กในภาวะวิกฤติโควิด อย่างน้อย 1,000 ทุน ถ้าเราไม่เริ่ม จะไม่มีใครดึงเด็กขึ้นมาจากความเงียบ ศูนย์ช่วยเหลือเด็กโควิด-19 ทำงานเพียง 4 หน่วยงานไม่ได้ เราจึงพร้อมระดมความร่วมมือทุกภาคส่วนต่าง ๆ มาช่วยให้เด็กของเรารอด" ศ.ดร.สมพงษ์  กล่าว

พญ.พรรณพิมล วิปุลากร อธิบดีกรมสุขภาพจิต กล่าวว่า ตอนนี้ยังไม่มีตัวเลขที่ชัดเจนว่าเด็กที่ได้รับผลกระทบจากการสูญเสียมีจำนวนเท่าไหร่ และมีบางครอบครัวมีสมาชิกมากกว่า 1 คน ที่เสียชีวิต โดยการเสียชีวิตทั้งพ่อแม่ และผู้สูงอายุ จะส่งผลกระทบต่อจิตใจของเด็กเช่นเดียวกับผู้ใหญ่ที่มีความเศร้าจากการสูญเสีย แต่ปฏิกริยาของเด็กไม่เหมือนผู้ใหญ่ ที่ต้องการคนแวดล้อมมาช่วยทำให้ความเศร้าผ่านไป นอกจากนี้พบว่าผลจากโควิด-19 ส่งผลกระทบมากกว่าปกติ ทั้งการไม่มีโอกาสได้ร่ำลา จัดพิธีศพเต็มรูปแบบ ส่งผู้เสียชีวิตเป็นครั้งสุดท้าย

นางสาวนิโคล่า บลั้น รักษาการหัวหน้าฝ่ายคุ้มครองเด็ก องค์การยูนิเซฟประเทศไทย กล่าวว่า ในภาวะฉุกเฉินของเด็กทั่วโลกคิดว่าเด็กมีสิทธิที่จะต้องได้รับการดูแลโดยครอบครัว ซึ่งครอบครัวไม่ใช่แค่พ่อแม่ที่อยู่กับเด็กแต่รวมถึงเครือญาติ ดังนั้นหากภาครัฐมีนโยบายที่สนับสนุนก็จะเป็นเรื่องดีที่ทำให้เด็กได้อยู่กับคนใกล้ชิด ขณะที่การแยกเด็กป่วยออกจากครอบครัวถือเป็นมาตรการสุดท้ายที่ควรทำ เพราะสิ่งที่ดีที่สุดคือให้คนในครอบครัวช่วยดูแลกันเอง อีกประเด็นคือกลุ่มเด็กเสี่ยงและเด็กเปราะบางที่พ่อแม่เสียชีวิต ความเสี่ยงก็จะยิ่งเพิ่มมากขึ้น สิ่งที่ราชการจะเข้ามาช่วยได้มากคือ หาให้ได้ว่าเด็กกลุ่มนี้คือใคร และให้บริการที่เหมาะสม เพื่อป้องกันดูแลความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้นในอนาคต 

อย่างไรก็ตาม อยากให้คำนึงถึงการดำเนินงานที่เหมาะสมกับทั้งตัวเด็กและครอบครัว และนำแนวคิดนี้มาใช้ในการทำงานทุกส่วนให้ทั่วถึง ในการตัดสินใจด้านนโยบายและการดำเนินการต่าง ๆ  

นายคริส โปตระนันทน์ กลุ่มเส้นด้าย กล่าวว่า การมีศูนย์ช่วยเหลือเด็กโควิด-19 ถือเป็นโครงการที่ดี ซึ่งจากการทำงานที่ผ่านมาพบปัญหาเวลามีเด็กมาขอความช่วยเหลือทำได้ยากมาก เนื่องจากไม่มีกลไกรองรับการช่วยเหลือเด็กเอาไว้ ซึ่งเมื่อมีศูนย์ช่วยเหลือเด็กโควิด-19 ถือเป็นการช่วยเหลือเด็กที่ดีมาก

“กรณีแม่ลูกติดโควิด เด็กจะหาโรงพยาบาลยาก แม่ไม่ยอมไปโรงพยาบาลเพราะรอให้ลูกได้ที่รักษา จนเป็นเหตุที่ทำให้แม่เกิดอาการที่รุนแรงจนถึงเสียชีวิต ถ้าแก้ปัญหาได้ พยายามให้เด็กเข้าไปรักษาด้วย เด็กจะกำพร้าน้อยลง พยายามทำให้เกิดโฮสพิเทลที่ให้ครอบครัวเข้าไปได้เลย ศูนย์ช่วยเหลือเด็กโควิด-19 จะช่วยเติมเต็มตรงนี้ได้ การส่งเด็กไปยังโรงพยาบาลสนาม ไม่ใช่ว่าแพทย์ไม่อยากรับคนไข้ คุณหมออยากรับแต่ไม่มีเครื่องมืออุปกรณ์รับรองเด็ก” นายคริส กล่าว

 



บริษัท สมาร์ท โกลด์ มีเดีย กรุ๊ป จำกัด SMART GOLD MEDIA GROUP CO.,LTD. ติดต่อสอบถาม โทร : 0893284192 , ID Line : @siamturakij และ ฝ่ายโฆษณา siamturakijadvertising@gmail.com
© 2013 สยามธุรกิจ