ได้ตำแหน่งชนะเลิศจากเวทีการประกวด ดิ ไอดอล สอง มานาน พักใหญ่ แต่ "เต้ย-พงศกร เมตตา-ริกานนท์" ก็ไม่มีชื่อเสียงให้ใครรู้จักสักที แต่เดี๋ยวนี้เดินไปไหนมาไหนก็มีแต่คนทักเรียกว่า "บักจ่อย" หลังจากละครซีรี่ส์เรื่องดัง "สุภาพบุรุษจุฑาเทพ ตอน คุณชายรัชชานนท์" จบไป ล่าสุดได้มีโอกาสกระทบไหล่ "บักจ่อย" หรือ "หนุ่มเต้ย" เลยรีบเข้าไปนั่งเมาธ์มอยมาฝากคอคอลัมน์ "โชะเด๊ะ" กันซะหน่อย ถึงจากกระแส ละครทำให้ชีวิตหนุ่มคนนี้เปลี่ยนไปอย่างไรบ้างและเริ่มเข้าวงการบันเทิง มาอย่างไร
"เริ่มก้าวเท้าเข้าวงการมาได้ยังไงเหรอครับ ก็เริ่มแรกเลยคุณแม่ เป็นคนให้ผมเข้าไปประกวดดิ ไอดอล สอง แล้วก็โชคดีได้เข้ารอบ 10 คนสุดท้าย ชาย 5 หญิง 5 แล้วก็ชนะในรายการ เป็นท็อป ออฟ ดิ ไอดอล สองครับ หลังจากที่ได้รับรางวัลแล้ว ผมก็เคยถามคุณแม่เหมือนกันว่าทำไมถึงได้ให้ผมเข้ามาประกวด ซึ่งคุณแม่เห็นผมเรียนนิเทศศาสตร์ ทางการแสดงอยู่แล้วครับแล้วผมเล่นละครเวทีด้วยที่ ม.กรุงเทพ แล้ว คุณแม่ก็ชอบนักแสดงช่อง 3 อยู่แล้ว คุณแม่ชอบพี่ เคน-ธีรเดช เลยอยาก ที่จะให้เราเข้าวงการบ้าง (ยิ้ม)"
พอได้เข้ามาเป็นนักแสดงช่อง 3 ก็ดังเปรี้ยงมีชื่อเสียงแฟนคลับสาวๆ ตามเพียบเดินไปไหนมาไหนก็มีแต่คนรู้จัก..
"ครับดีใจมากๆ ไม่เคยคิดว่าตัวเอง จะมาถึงจุดจุดนี้ตอนที่เข้าประกวดและ รู้ว่าตัวเองชนะได้รับรางวัลก็ดีใจมากๆ เพราะมันเป็นอะไรที่เกินคาดมากๆ แล้ว ตอนแรกๆ ลุ้นมากครับก่อนละครจะออกอากาศ เพราะตอนที่เราเล่นนั้น ไม่ทราบเลยว่าละครจะออกมายังไงบ้าง ระหว่างที่รอเขาตัดต่อให้ออกมามันจะดีมั้ย พี่แดง-ธัญญา และพี่อ๊อฟ- พงษ์พัฒน์ เคยบอกไว้ว่าเราจะเล่นดี แค่ไหนแต่จะประสบความสำเร็จมั้ย ต้องไปลุ้นที่ว่าคนดูจะชอบหรือเปล่า แต่พอออกมาแล้วคนดูชอบก็รู้สึกดีใจและทำให้เรามีกำลังใจที่จะทำงานต่อไป ได้อีกครับ"
แค่เรตติ้ง "หนุ่มเต้ย" ก็รู้สึกปลื้ม กับกระแสละครเรื่อง "คุณชายรัชชา-นนท์" ที่ทำให้ตัวเองมีชื่อเสียงจนตอนนี้เดินไปไหนมาไหนมีแต่คนเรียก ว่า บักจ่อย แต่ใครจะเชื่อว่าคุณแม่ของ "หนุ่มเต้ย" รู้สึกปลื้มซะยิ่งกว่าลูกชายซะอีก..
"ตั้งแต่ละครเรื่องคุณชายรัชชา-นนท์ออนแอร์และจบไปเดี๋ยวนี้เวลาเดินไปไหนมาไหนก็ไม่มีใครเรียกผมว่าเต้ยแล้ว ส่วนใหญ่เรียกแต่ว่า บักจ่อย (หัวเราะ) แต่ก็หันนะครับเวลาที่เขาเรียก และรู้สึกดีใจมากที่เขาจำเราได้ด้วย (ยิ้ม) ทางด้านคุณแม่นี่ดีใจกว่าใครเพื่อนเลยครับหน้าบานเลย (ยิ้ม) คนทั้งจังหวัดอำนาจเจริญก็ฝากชมด้วยครับที่ผมไม่อายความเป็นอีสานทุกคนภูมิใจมาก แต่จริงๆ ตอนที่ผมอยู่ที่อำนาจเจริญไม่เคยพูดภาษาอีสานเลย ตอนอยู่กับพ่อแม่ก็ไม่เคยพูด จนมาเล่นละครเรื่อง นี้ล่ะถึงได้มีโอกาสพูดครับ"
จบจากละครเรื่องนี้แล้วผู้ใหญ่ทางช่องเตรียมวางแพลนป้อนงานละครให้ "หนุ่มเต้ย" ต่อในทันที แถมยังแว่วๆ ว่าจะให้เป็นพระเอกเต็มตัวซะด้วย..
"ก็เตรียมความพร้อมไปเรียนการ แสดงเรียนแอ็กติ้งเพิ่มและต้องดูแลฟิตร่างกายให้พร้อมมากๆ ครับที่ผ่านมา จนกระทั่งตอนนี้ผมใช้ร่างกายหนักมาก ต้องมีความเตรียมพร้อมทุกๆ วัน มันคงจะมีอะไรเข้ามาอีกและต้องเจออะไร อีกเยอะ ที่ผ่านมาถ่ายละคร 2 เดือนติด ตอนนั้นเลิกเช้าไม่ได้นอนเลย คือ ถ้าเจออะไรที่หนักกว่านี้คงไม่กลัวแล้วครับ ตอนถ่ายละครเรื่อง พันท้าย-นรสิงห์ ก็หนักมากต้องขี่ม้า ฟันดาบ ต่อยมวย พายเรือ คอยเป็นนายท้าย เรือคัดท้ายพระราชพิธีถือว่าหนักมากๆ ผมว่าผมโชคดีมากที่ตอนนี้เป็นจังหวะที่ดีของชีวิตได้รับโอกาสที่ดีมีพี่ แดง-ธัญญา วชิร-บรรจง และผู้ใหญ่ช่อง 3 ท่านมุ้ย-หม่อมเจ้าชาตรีเฉลิม ยุคล ทุกท่านให้โอกาสผมได้มาอยู่ตรงนี้ครับ"
กับละครเรื่องแรกได้รับกระแสตอบรับดีขนาดนี้ แต่ "หนุ่มเต้ย" ก็ไม่เกี่ยงที่จะรับละครในทุกบทบาท..
"ตอนนี้ก็มีคิดๆ ไว้อยู่ครับ รอ ทางผู้ใหญ่พูดคุยกันส่วนบทที่อยากเล่นถ้ามีโอกาสก็อยากเล่นทุกบทเลย ครับ (หัวเราะ) ตอนนี้คันไม้คันมือ มากเลย เพราะจริงๆ ที่ผ่านมาบทจ่อย นั้นผมได้เล่นทุกบทบาทเลย และจะทำให้งานออกมาให้ดีที่สุดพร้อมที่จะพัฒนาฝีมือของเราให้ดี ต่อไปเรื่อยๆ ทำวันนี้ให้ดีที่สุดไม่กดดันตัวเองจะทำทุกๆ อย่างที่เข้ามาในชีวิตในตอนนี้ให้มันดีที่สุดครับ"
หลายคนอดสงสัยไม่ได้เห็นหน้าตาหล่อเข้มสาวกรี๊ดขนาดนี้แถมยังถ่ายละครกันเจ็ดวันรวดขนาดนี้หนุ่มเต้ย จะเอาเวลาที่ไหน มาดูแลหัวใจตัวเอง..
"ตอนนี้หัวใจผมยังว่างอยู่สี่ห้องเลยครับ (ยิ้ม) ยังไม่มีใคร ยิ่งตอนนี้ไม่มีเวลาเลยครับ ดูแลตัวเอง ยังแย่เลยแล้วถ้ามีแฟนเขาคงจะรู้สึกแย่แน่ๆ ที่เราไม่มีเวลาให้เลย ฉะนั้น ตอนนี้เลยอยากที่จะทำงานก่อนครับลุยงานให้เต็มที่อยากที่จะทำงานเก็บเงินให้เยอะๆ อยากที่จะสร้างบ้านให้พ่อแม่ไว้อยู่ที่กรุงเทพฯ ครับ เวลามาเจอกันจะได้อยู่ด้วยกัน ทั้งพ่อแม่ ตายาย และผมได้มานอน อยู่ด้วยกันครับ"
เรียกได้ว่าเส้นทางในวงการบันเทิงของ "หนุ่มเต้ย" นั้น เข้าตามตรอกออกตามประตู และที่มีวันนี้ได้ก็เพราะมีคุณแม่เป็นเจ๊ดัน..โชะเด๊ะ!!!