ประเมินหุ้นไทยยัง Sideway Up จากโอกาสที่จะเห็นการเปิดเมืองมีเพิ่มขึ้น หลังตัวเลขผู้ติดเชื้อโควิด-19 รายใหม่อยู่ในระดับต่ำกว่าสองหมื่นราย บวกกับการฉีดวัคซีนมีความคืบหน้าเพิ่มมากขึ้น จึงให้กรอบการเคลื่อนไหวของดัชนีที่ 1,550-1,600 จุด พร้อมแนะกลยุทธ์ลงทุน 14 หุ้น Reopening Play รับอานิสงส์การเปิดเมืองในอนาคต

                นางสาววิลาสินี บุญมาสูงทรง ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ โกลเบล็ก จำกัด หรือ GBS ประเมินทิศทางตลาดหุ้นไทยคาดว่า ยังคงมีแนวโน้มปรับตัว Sideway Up จากแรงซื้อในหุ้นกลุ่ม Reopening Play ตัวเลขผู้ติดเชื้อโควิดในประเทศที่ชะลอตัวต่อเนื่อง และล่าสุดทางสหรัฐฯ เตรียมเพิ่มกำลังการผลิตวัคซีนป้องกันโควิด-19 สำหรับบริจาควัคซีนให้ประเทศอื่นๆ เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะประเทศที่ไม่สามารถเข้าถึงวัคซีนได้ และทาง FDA ของสหรัฐฯ จะอนุมัติใช้วัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 ของบริษัทไฟเซอร์อย่างเต็มรูปแบบ (full approval) รวมทั้งทางสภาฯ ผ่านร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายปี 2565 กรอบวงเงินที่ 3.1 ล้านล้านบาท จึงคาดการณ์กรอบการเคลื่อนไหวของดัชนีฯ ที่ 1,550-1,600 จุด

                ส่วนปัจจัยที่ยังคงต้องจับตาต่อเนื่อง  อาทิ  ทาง ส.อ.ท. แถลงยอดการผลิตและส่งออกรถยนต์ รถจักรยานยนต์และชิ้นส่วนยานยนต์ และ สศอ.แถลงดัชนีอุตสาหกรรม ส่วน ตลท.เตรียมจัดงาน Thailand Focus 2021

                ขณะที่สถานการณ์ทางการเมืองที่พร้อมระอุต่อเนื่องจากคาร์ม็อบทั่วประเทศ และในวันทำการสุดท้ายปลายเดือนนี้ทาง ธปท. จะรายงานภาวะเศรษฐกิจไทย ด้านปัจจัยต่างประเทศ ยังคงเป็นการรายงานตัวเลขเศรษฐกิจต่างๆ ของสหรัฐฯ  รวมทั้งจีนรายงานกำไรภาคอุตสาหกรรมเดือนกรกฎาคม และธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) มีการประชุมประจำปีที่เมืองแจ็กสัน โฮล รัฐไวโอมิง

                สำหรับกลยุทธ์การลงทุน แนะนำกลยุทธ์ลงทุนในหุ้น Reopening Play เช่น หุ้นกลุ่มโรงแรม แม้คาดผลประกอบการยังขาดทุนในช่วง 3/64 แนะนำเก็งกำไร MINT, ERW, CENTEL, AWC และ SHR รองลงมากลุ่มขนส่ง ได้แก่ BEM, BTS  หุ้นกลุ่มห้างสรรพสินค้า ได้แก่ CPN, CRC และ MBK หุ้นกลุ่มร้านอาหาร ได้แก่ AU, M และ ZEN หุ้นกลุ่มบริการ เช่น SPA  เนื่องจากจำนวนผู้ติดเชื้อโควิด-19 รายใหม่ลดลงต่ำกว่าระดับ 2 หมื่นรายต่อวัน และการฉีดวัคซีนมีความคืบหน้าเพิ่มมากขึ้น ทำให้นักลงทุนมองข้ามไปถึงอนาคตที่ประเทศไทยจะกลับมาเปิดเมืองได้อีกครั้ง

                ส่วนทิศทางการลงทุนในทองคำ นายณัฐวุฒิ วงศ์เยาวรักษ์ ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ โกลเบล็ก ระบุว่า ราคาทองคำโลกปรับตัวขึ้น หลังสหรัฐฯ ประกาศดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคสหรัฐร่วงลงสู่ระดับ 70.2 ในเดือนสิงหาคม ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่ปี 2554 จากผลกระทบของการแพร่ระบาดอย่างรวดเร็วของไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์เดลตา นอกจากนี้ อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอายุ 10 ปี ร่วงลงสู่ระดับ 1.250% เป็นปัจจัยหนุนต่อราคาทองคำ

                อย่างไรก็ตาม ต้องจับตาการประชุมประจำปีของเฟดที่เมืองแจ็กสัน โฮล รัฐไวโอมิง ซึ่งคาดว่าเฟดจะส่งสัญญาณที่ชัดเจนมากขึ้นเกี่ยวกับทิศทางอัตราดอกเบี้ย รวมทั้งแนวโน้มการปรับลดวงเงินในการซื้อพันธบัตรตามมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE)

                ทั้งนี้ จากความผันผวนของราคาทองคำและความกังวลในการปรับลดวงเงิน QE ของเฟด เป็นปัจจัยกดดันต่อราคาทองคำในระยะกลาง ฝ่ายวิจัยประเมินกรอบทองคำที่ 1,750-1,800 เหรียญสหรัฐต่อออนซ์ โดยแนะนำให้หาจังหวะ Short เมื่อดัชนีปรับตัวขึ้นใกล้แนวต้าน จากความกังวลการปรับลดวงเงิน QE

********************************