วิเคราะห์ forex ประจำวัน พร้อมปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อฟอเร็กซ์

วันพุธที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2564

วิเคราะห์ forex ประจำวัน พร้อมปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อฟอเร็กซ์


ภายหลังจากดูปฏิทินเศรษฐกิจคาดว่านับจากนี้เป็นต้นไปจะเกิดความผันผวนเป็นอย่างสูงโดยเฉพาะตลาดแลกเปลี่ยนเงินตราระหว่างประเทศ เนื่องจากมีวาระสำคัญในการตัดสินใจเกี่ยวกับการพิจารณาขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ ดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI m/m)  รวมถึง GDP และรายงานตัวเลขเงินเฟ้อที่มีแนวโน้มสูงขึ้น โดยจะต้องนำตัวเลขการพิจารณาในครั้งก่อนมาประเมินกับตัวเลขคาดการณ์ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ก่อนที่จะประกาศตัวเลขจริงในวันศุกร์ที่ 10 กันยายน 2564 หากตัวเลข Actual ออกมาสูงกว่า Forecast : นั่นเท่ากับว่า US Dollar อาจมีแนวโน้มแข็งค่าขึ้นได้ในอนาคต สำหรับนักลงทุน วิเคราะห์ forex ประจำวัน ควรจับตามองสิ่งสำคัญต่างๆ ต่อไปนี้ไม่ว่าจะเป็น

  • การประกาศนโยบายทางการเงินของธนาคารกลางสหรัฐ
  • รายงาน GDP ไตรมาส 3 ของสหรัฐ
  • รายงาน GDP ไตรมาส 3 ของยุโรป
  • ดัชนี CPI ของยุโรป
  • รายงานการจ้างงานของเยอรมนี
  • รายได้ การใช้จ่ายส่วนบุคคลของสหรัฐอเมริกา

โดยเฉพาะ GDP ในไตรมาส 3 ที่หลายฝ่ายคาดว่าจะมีการเติบโตมากกว่า ไตรมาส 2 ภายหลังจากสถานการณ์โควิด-19 ทั่วโลกเริ่มดีขึ้น หลายประเทศมีการฉีดวัคซีนให้ประชาชนในประเทศมากขึ้นแม้จำนวนผู้ติดเชื้อจะยังส่งผลกระทบต่อความกังวลของนักลงทุน ในขณะที่คนที่ได้รับการฉีดวัคซีนครบ 2-3 dose กับพบความรุนแรงของเชื้อที่ลดน้อยลง ทำให้สามารถออกมาดำเนินชีวิตได้ตามปกติได้ นับเป็นข่าวดีสำหรับนักลงทุนทั่วโลก เพื่อจะทำให้เศรษฐกิจสามารถขับเคลื่อนต่อไปได้และนักวิเคราะห์ยังคาดการณ์อีกว่าเศรษฐกิจสหรัฐจะสามารถขยายตัวได้ถึง 70 เปอร์เซ็นต์ภายในสิ้นปี 2564 นี้ 

หากใครได้ วิเคราะห์ forex ประ จำ วัน และพิจารณากราฟทางเทคนิคจะเห็นว่าค่าเงิน EUR เมื่อเทียบกับ USD  มีแนวโน้มที่ลดต่ำลงหากแนวรับที่ 1.1700  ไม่สามารถรับอยู่ได้ อาจจะได้เห็น ค่าเงินยูโรอ่อนค่ามากยิ่งขึ้น อันเนื่องมาจากปัจจัยการจ้างงานนอกภาคเกษตรกรรมของสหรัฐในเดือนสิงหาคมมีเพิ่มขึ้นมากกว่า 2.4 แสนตำแหน่ง แม้จะน้อยกว่าที่คาดไว้ 7.5 แสนตำแหน่ง แต่ในภาพรวมอัตราว่างงานของสหรัฐปรับลดลงเหลือ 5.2 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น อาจเป็นผลมาจากการปรับตัวการขึ้นค่าจ้าง ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าตลาดแรงงานโดยรวมสามารถฟื้นตัวได้อย่างต่อเนื่องและมีความต้องการในการใช้แรงงานอยู่ในระดับสูง ส่งผลให้นายจ้างกล้าที่จะให้ค่าจ้างที่สูงขึ้นเพื่อเป็นแรงจูงใจ แม้จะเกิดปัญหาการระบาดครั้งใหม่ของโควิด-19 แต่ก็ไม่อาจเปลี่ยนใจถึงสถานการณ์การลด QE ธนาคารกลางสหรัฐหรือเฟดได้ โดยในเดือนกันยายนนี้ควรจับตาถ้อยแถลงของธนาคารกลางสหรัฐอีกครั้งหนึ่ง รวมถึงบทวิเคราะห์มุมมองถึงการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในภาพรวม

ในขณะที่ฝั่งยุโรปนักวิเคราะห์หลายคนยังกังวลถึงการฟื้นตัว เนื่องจากผลกระทบจากการระบาดของ covid ระลอกใหม่ทำให้ดัชนีเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจของเยอรมันในเดือนกันยายนลดลง ซึ่งประเด็นสำคัญจะอยู่ที่การประชุมของธนาคารกลางยุโรปหรือ ECB  ว่าจะมีการปรับลด QE ลงเหมือนกับเฟดหรือไม่ หลังจากเศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง ภายหลังจากตลาดหุ้นยุโรปต่างพากันปรับตัวมากกว่า 21% ในปีนี้ ประกอบกับอัตราเงินเฟ้อที่เริ่มปรับตัวสูงขึ้นอาจส่งผลให้การผ่อนคลายนโยบายทางการเงินเริ่มลดลง  

คาดการณ์ราคาน้ำมัน และปัจจัยที่กระทบ

ปัจจุบันราคาน้ำมันมีการปรับตัวสูงขึ้นมากกว่า 300 % หลังจากเกิดวิกฤตโรคระบาด ก่อนที่จะทรงตัวและยืนเหนือราคาที่ 60 $USD/Barrel ซึ่งในปัจจุบันราคาน้ำมันดิบ WTI  Crude Oil (Nymex) อยู่ที่ระดับ 69.43 $USD/Barrel มีการเปลี่ยนแปลง +1.58% (ข้อมูล ณ วันที่ 8/9/2021) ถือว่าบวกขึ้นเล็กน้อยภายหลังจากมีความกังวลเกี่ยวกับการระบาดของโรคโควิด-19 สายพันธุ์เดลต้าเพิ่มสูงขึ้น จนอาจส่งผลกระทบต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจทั่วโลก ทั้งนี้ในหลายประเทศเริ่มประกาศภาวะฉุกเฉินและออกมาตรการเข้มข้นรวมถึงยกเลิกเที่ยวบินในหลายประเทศ ทำให้กระทบต่อระบบขนส่งเป็นอย่างมาก ในขณะที่แท่นขุดเจาะน้ำมันแห่งหนึ่งของเม็กซิโกที่เคยเกิดไฟไหม้สามารถกลับมาผลิตและขุดเจาะน้ำมันได้อีกครั้งหนึ่ง ทำให้กำลังการผลิตกลับเข้ามาในระบบมากขึ้น ในขณะที่กลุ่มโอเปกเองยังคงนโยบายการเพิ่มกำลังการผลิตเช่นเดิม ส่งผลให้ราคาน้ำมันไม่สามารถที่จะปรับตัวเพิ่มสูงขึ้นได้  โดย คาดการณ์ราคาน้ำมัน จะวิ่งอยู่ในกรอบแคบที่บริเวณ 67-73 $USD/Barrel แต่ถึงอย่างไรก็ตาม แม้ราคาน้ำมันจะวิ่งอยู่ในกรอบแคบแต่ก็ยังได้รับแรงหนุนจากอุปทานหลังจากการฟื้นตัวของพายุเฮอริเคนที่ถล่มสหรัฐและความต้องการน้ำมันเพิ่มมากขึ้นในฤดูหนาวที่กำลังจะมาถึงนี้ คาดว่าแนวโน้มของราคาน้ำมันมีโอกาสที่จะปรับตัวเพิ่มสูงขึ้นหากธนาคารกลางสหรัฐตัดสินใจปรับลด QE ลง

จากการ คาดการณ์ราคาน้ำมัน วิเคราะห์กราฟทางเทคนิคจะเห็นได้ว่าราคาน้ำมันมีการปรับตัวลดลงอย่างรุนแรงภายหลังจากการทำราคาจุดสูงสุดไว้ที่ 76.97 $USD/Barrel ก่อนที่จะปรับตัวลดลงทำจุดต่ำสุดที่ระดับราคา61.76 $USD/Barrel และรีบาวขึ้นไปที่ราคา 69.76$USD/Barrel นั่นจึงเป็นเหตุผลว่าทำไม ธนาคารกลางสหรัฐอาจมีการเร่งการลดทำ QE และขึ้นดอกเบี้ยภายใน 1-2 ปีข้างหน้านี้ เพราะว่าราคาน้ำมันที่มีการปรับตัวสูงขึ้นย่อมหมายถึงสภาวะของอัตราเงินเฟ้อที่เริ่มสูงขึ้นนั่นเอง

คาดการณ์ราคาทองคำ และอนาคต

ทองคำเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อค่าเงินดอลลาร์ ซึ่งมักจะมีความสัมพันธ์ที่ตรงข้ามกันเสมอ ยกตัวอย่าง หากมีการปรับอัตราดอกเบี้ยนโยบายขึ้น งั้นแสดงว่าเศรษฐกิจสหรัฐกำลังจะมีแนวโน้มที่ดีทำให้เกิดความเชื่อมั่น ส่งผลให้ค่าเงินดอลลาร์แข็งค่า จึงกระทบต่อราคาทอง ทำให้ราคาทองปรับตัวลดลง ในขณะที่หากเศรษฐกิจแย่ ค่าเงินดอลลาร์อ่อนตัวลงทำให้ราคาทองคำปรับตัวสูงขึ้น เหมือนช่วงเกิดวิกฤตโรคระบาดเมื่อต้นปี 2020 จะเห็นว่าตลาดหลักทรัพย์ทั่วโลกพากันติดลบมากกว่า 50 เปอร์เซ็นต์ นั่นเพราะหลายฝ่ายกังวลว่าเศรษฐกิจกำลังจะประสบปัญหาเป็นอย่างมาก ในขณะที่สินทรัพย์อย่างทองคำกับปรับตัวเพิ่มสูงขึ้น จนทำจุดสูงสุดใหม่ก่อนที่จะปรับตัวลงภายหลังจากมีการคิดค้นวัคซีนได้ ก่อนที่จะกลับไปยืนเหนือที่ระดับราคา 1,700 ได้อีกครั้งหลังจากเกิดความกังวลว่าจะมีการระบาดอีกครั้งหนึ่งในสายพันธุ์เดลต้า แต่ถึงกระนั้นยังมีปัจจัยเรื่องการฉีดวัคซีนของหลายๆ ประเทศเป็นตัวกดดัน เมื่อเริ่มมีคนป่วยลดน้อยลง อัตราการตายลดลง ทำให้หลายฝ่ายคาดว่าเศรษฐกิจจะกลับมาเติบโตอีกครั้ง โดยเฉพาะหากแต่ละประเทศมีการผ่อนปรน เรื่องล็อกดาวน์ก็จะทำให้เศรษฐกิจสามารถที่จะขับเคลื่อนได้อีกครั้งหนึ่ง

หากใครที่กำลังลงทุนในทองคำควรจับตาอย่างใกล้ชิดเพราะเป็นไปได้ว่าธนาคารกลางสหรัฐอาจมีมาตรการเริ่ม ปรับลด QE โดยเริ่มครั้งแรกในต้นปี 2022 และค่อยๆ ปรับลดลงเรื่อยๆ ในแต่ละไตรมาสของปีถัดไป ก่อนที่จะมีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย ซึ่งคาดว่าจะเป็นในช่วงปลายปี 2022 หรือ Q 1 2023 ขึ้นอยู่กับว่าสภาพเศรษฐกิจโดยรวมของสหรัฐจะสามารถฟื้นตัวได้อย่างต่อเนื่องหรือไม่ภายหลังจากที่มีการรายงานผลการว่างงานโดยรวมดีขึ้น ตลอดจนอัตราค่าจ้างที่เพิ่มสูงขึ้นทำให้นายจ้างกล้าที่จะจ้างแรงงานมากยิ่งขึ้น เพราะเมื่อใดที่เศรษฐกิจสหรัฐดี คาดการณ์ราคาทองคำ อาจปรับตัวลดลงอย่างรุนแรงก็เป็นได้ ซึ่งสอดคล้องกับค่าเงินดอลลาร์ในปัจจุบันที่เริ่มแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับเงินยูโร ในทางเทคนิครอบนี้หากราคาทองคำไม่สามารถที่จะขึ้นไปทำจุดสูงสุดใหม่ได้ก็ควรระมัดระวังการทิ้งตัวอย่างรุนแรง

สำหรับนักลงทุนที่เทรด ฟอเร็กซ์ ช่วงนี้อาจได้รับความผันผวนเนื่องจากจะมีการประชุมธนาคารกลางสหรัฐคงต้องคอยจับดูท่าทีว่าจะมีการกล่าวถึงการปรับลด QE และเพิ่มอัตราดอกเบี้ยขึ้นเมื่อใด ซึ่งถ้าหากผลการจ้างงานของสหรัฐปรับตัวสูงขึ้น เป็นไปได้ว่าการปรับลด QE ก็จะเร็วขึ้นด้วยเช่นกัน เท่านั้นยังไม่พอจะต้องคอยดูการประชุมของธนาคารยุโรปหรือ ECB ด้วยเพราะหากเฟดมีการปรับลด QE เป็นไปได้ว่า ECB ก็จะปรับลด QE ด้วยเช่นกัน ในขณะที่ค่าเงินดอลลาร์แข็งตัวอาจส่งผลให้ค่าเงินอื่นๆ ทั่วโลกอ่อนตัวลงได้ จึงเป็นโอกาสที่นักลงทุนควรวางแผนและเลือกลงทุนคู่เงินให้ถูกจังหวะเพราะนั่นหมายถึงว่าคุณอาจทำกำไรก้อนโตจากการเล่นฟอเร็กซ์ได้

ซึ่งปัจจัยที่กล่าวมาข้างต้นมีผลเป็นอย่างมากต่อค่าเงินดอลลาร์โดยเฉพาะระบบเศรษฐกิจจะเห็นได้ว่าเมื่อใดที่เศรษฐกิจโลกมีการปรับตัวที่ดีขึ้นราคาทองคำมักจะสวนทางกับเศรษฐกิจโลกเสมอเหมือนดั่งเช่นเคยเกิดมาแล้ว ในวิกฤตแฮมเบอร์เกอร์เมื่อปี 2008 ที่ทำเอาราคาทองปรับตัวสูงขึ้นจนทำราคาจุดสูงสุดใหม่ในเวลานั้น ก่อนที่จะมีการปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่อง ในขณะที่ตลาดหุ้นสหรัฐก็ทำจุดสูงสุดใหม่อย่างต่อเนื่องเช่นกันอาจเป็นไปได้ว่าทองคำอาจจบรอบขาขึ้นก็เป็นได้

 

 



บริษัท สมาร์ท โกลด์ มีเดีย กรุ๊ป จำกัด SMART GOLD MEDIA GROUP CO.,LTD. ติดต่อสอบถาม ID Line : @siamturakij และ ฝ่ายโฆษณา siamturakijadvertising@gmail.com
© 2013 สยามธุรกิจ