เสียงสะท้อนของคนในวงการขายตรงถึงกฎหมายที่กำกับดูแลวงการธุรกิจนี้อยู่มากมายหลาย เสียงแสดงให้เห็นถึงจุดอ่อนของกฎหมายขายตรง นี่จึงกลายเป็นเหตุผลสำคัญว่าทำไมต้องมีการ เร่งรัดให้มีการแก้ไขเปลี่ยนแปลงกฎหมายให้เกิดขึ้นโดยเร็ว ซึ่งฉบับนี้ก็เป็นอีกครั้งที่ผู้ประกอบการขายตรงอยากเห็นการเปลี่ยนแปลง
โดยนายเทวัญ ดีใจงาม ประธานกรรมการ บริษัท ดีไลฟ์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด เปิดเผยในประเด็นกฎหมายขายตรงว่า สมัยก่อนธุรกิจขายตรงมีภาพลักษณ์ที่ดีมาก แต่มาหลายปีหลังธุรกิจขายตรงกลับกลายเป็นธุรกิจที่มีภาพลักษณ์เสียหาย ทำให้ประชาชนมีความเสื่อมศรัทธา ไม่กล้าที่จะมาทำธุรกิจขายตรง กลายเป็น ว่า หากมีใครไปชักชวนให้มาร่วมธุรกิจส่วนใหญ่จะปฏิเสธกลับไปทั้งสิ้น ทั้งที่จริงแล้วธุรกิจขายตรงสามารถสร้างรายได้ที่มากกว่างานประจำบางอาชีพด้วยซ้ำ
"อยากให้ทุกคนเปิดใจรับข้อมูลธุรกิจขายตรงจริงๆ บ้าง ว่ามีประโยชน์และข้อดีอย่างไร อย่าไปหลงเชื่อคนที่ทำธุรกิจนี้แล้วไม่ประสบ ความสำเร็จ อยากให้เชื่อคนที่ประสบความสำเร็จ เพราะหากคุณยังไม่ได้มาศึกษาข้อมูลและได้ลงมือทำจริงๆ คุณจะประสบความสำเร็จได้อย่างไร และจะรู้ได้อย่างไรว่า ธุรกิจนี้ดีไม่ดีอย่างไร ไม่มีใครจะรู้ดีเท่ากับตัวของคุณเอง หากคุณหลงเชื่อคนอื่นได้ง่าย คุณก็เสียโอกาส ได้เช่นกัน"
ประธานใหญ่ "ดีไลฟ์" กล่าวต่อว่า ตอนนี้ปัญหาที่สำคัญอีกอย่าง คือนักธุรกิจขายตรงขาดจรรยาบรรณ อาจเป็นเพราะจำนวนเงินที่ มหาศาลทำให้เกิดความโลภจึงเกิดปัญหาต่างๆ ตามมา และนั่นก็คือปัญหาแชร์ลูกโซ่ที่แก้ไม่หายจากวงการขายตรงสักที การที่ผู้ประกอบ ธุรกิจขายตรงขาดจรรยาบรรณในการประกอบวิชาชีพก็เท่ากับว่า ทำความเสียหายให้กับอาชีพของตัวเอง และผู้อื่นด้วย
"ตอนนี้กฎหมายก็คงช่วยอะไรไม่ได้มาก เพราะกลุ่มคนมิจฉาชีพ เองที่ทำให้ภาพลักษณ์ของธุรกิจขายตรงเสียหาย จริงอยู่กฎหมายขายตรงอาจไม่เข้ายุคเข้าสมัย แต่ส่วนหนึ่งก็มาจากกลุ่มบุคคลที่ทำลาย ภาพลักษณ์ขายตรงด้วย หากกฎหมายยังไม่ได้ปรับแก้ไขสิ่งที่จะทำให้ ธุรกิจขายตรงดำเนินต่อได้คือ กลุ่มบุคคลดังกล่าว และทุกๆ คนที่ทำธุรกิจขายตรง ประกอบธุรกิจขายตรงควรดำเนินธุรกิจอย่างสุจริต มีความซื่อสัตย์ ไม่เอาเปรียบคนอื่น ก็จะแก้ไขปัญหาได้ หากรอการปรับแก้ไข กฎหมายให้ทันยุคปัจจุบันคงจะอีกนาน"
"ที่ผมพูดแบบนี้ไม่ใช่ว่าจะไม่อยากให้แก้กฎหมายขายตรงฉบับ ปัจจุบัน แต่ผมคิดว่า ทุกๆ คนต้องช่วยกันแก้ไขพฤติกรรมความโลภของตัวเองก่อน กฎหมายขายตรงคงจะต้องรอกันอีกหลายปี กว่าภาค รัฐจะตั้งหน่วยงานกำกับดูแลขึ้นมา แม้จะมีเสียงเรียกร้องจากหลายบริษัทที่ต้องการให้แก้ไขโดยเร็ว แต่ทำยังไงได้ล่ะ เมื่อเวลาผ่านมา 11 ปี แล้วยังไม่ได้แก้ไขอะไร ดังนั้น การรอคอยก็คงจะต้องทำใจให้ชิน และพยายามศึกษาข้อมูลจากบริษัทที่ประกอบธุรกิจขายตรงให้ละเอียดว่า มีใบรับรองอย่างถูกต้องหรือเปล่า และบริษัทใหญ่น่าเชื่อถือได้ขนาดไหน เพื่อจะได้ไม่ถูกหลอกลวงในภายหลัง"