"จิรชัย" เลขาฯ สคบ. ขานรับแก้ไขกฎหมาย ประกาศ รับสาน 4 สมาคมฯ ร่วมโต๊ะถกอนาคตธุรกิจขายตรง ผู้ประกอบการพร้อมหนุน เพื่อให้เดินไปสู่เป้าหมายเดียวกัน ชี้เป็นมิติใหม่ของสคบ.ที่ต้องการให้เอกชนร่วมเป็นหนึ่งเดียว ผลักดันตั้งหน่วยงานดูแลธุรกิจขายตรงโดยเฉพาะ ลบข้อครหา "แชร์ลูกโซ่" และยกธุรกิจขายตรงเทียบชั้นธุรกิจประกัน
จากที่ "สมาคมธุรกิจเครือข่ายขายตรงไทย (TDNA)" เข้าพบ "จิรชัย มูลทองโร่ย" เลขาธิการ สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค เพื่อผลักดันการแก้ไขกฎหมาย ตั้งหน่วยงานดูแลวงการอย่าง เฉพาะ โดย "จิรชัย" ต้องการเชิญผู้นำ ของ 4 สมาคม เพื่อหาทางออกในเรื่องนี้ ทำให้ผู้ประกอบการขายตรงตื่นตัว กับเรื่องที่กำลังจะเกิดขึ้น พร้อมความคาดหวังที่จะให้มีการแก้ไขกฎหมาย ตั้งหน่วยงานดูแลธุรกิจอย่างเฉพาะเหมือนเช่นธุรกิจประกันฯ
โดยนายจิรชัย มูลทองโร่ย เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการ คุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) เปิดเผยว่า จากที่ผ่านมาได้มีกลุ่มบริษัทขายตรงรวมตัวกันตั้งเป็นสมาคมขายตรง อยู่ 4 สมาคม ซึ่งอาจจะมีความคิดเห็นในบางเรื่องที่ต่างกัน แต่ในวัตถุประสงค์หลักไม่ต่างกัน คือ การต้องการยกระดับวงการขายตรงอย่างเป็นรูปธรรม ซึ่งทาง สคบ. ต้องการที่จะเชิญผู้นำของทั้ง 4 สมาคม ร่วมพูดคุย หารือในเรื่องต่างๆ พร้อม ทั้งจะมีการเชิญรัฐมนตรีที่ดูแลธุรกิจ ร่วมพูดคุยด้วย เพื่อหาทางออกในการ ยกระดับอุตสาหกรรมขายตรงไทย
เกี่ยวกับเรื่องดังกล่าว นายสมชาย อินทิราวรนนท์ ประธานกรรมการ บริษัท แซนสยาม อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด เปิดเผยกับ "สยามธุรกิจ" ถึงความคิดเห็นในประเด็นที่ "สคบ." เตรียมเชิญผู้นำของ 4 สมาคมขายตรงเข้าหารือกันว่า "เห็นด้วย เพราะจะเป็นการรวมพลังของผู้ประกอบการทางธุรกิจเครือข่ายที่มีความรู้ ความเข้าใจในการทำ MLM เป็นอย่างดี จะได้ช่วยกันหาทางออกว่า ควรแก้กฎหมายขาย ตรงไปในทิศทางใด และจะทำให้ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องได้ประโยชน์กับเรื่องนี้อย่างไร แต่ ต้องเป็นผลดีต่อประเทศชาติด้วย"
"ถือเป็นการรองรับการรวมตัวประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน หรือเออีซี ที่จะ เกิดขึ้นในอีก 2 ปีข้างหน้า เพราะตลาดธุรกิจ ขายตรงถึงวันนั้น จะต้องเติบโตและกำลังขยายตัวออกไปอีกหลายเท่าตัว โดยมูลค่า ทางการตลาดขายตรงจะทวีคูณหลายแสนล้านบาท และเป็นการเตรียมพร้อมรับมือปัญหาที่เกิดขึ้นเมื่อถึงวันนั้น เพราะหากการ แก้ไขกฎหมายไปในทิศทางที่ดี จะทำให้กลุ่ม ที่ไม่หวังดีไม่สามารถเข้ามาหาผลประโยชน์ได้"
"ถ้าหากมีหน่วยงานที่เข้ามาดูแลเกี่ยวกับขายตรงโดยเฉพาะ ผมว่าจะส่งผลดี เป็นอย่างมาก เพราะจะยกระดับเหมือนกับ ธุรกิจประกันที่มีหน่วยงานกำกับดูแลชัดเจน เวลาที่มีการร้องเรียน จะได้มีที่ไปขอความเป็นธรรม และบริษัทต่างๆ ก็สามารถเข้ามา ปรึกษาหาทางออกเวลาเกิดปัญหาได้ เพราะหากยังไม่มีหน่วยงานเข้ามากำกับดูแล ก็ต้องไปพึ่งทาง สคบ. ซึ่งปัจจุบันทาง สคบ. มีเจ้าหน้าที่ดูแลน้อยเกินไปกับความต้องการ ของบริษัทขายตรงที่มีกว่า 350 กว่าบริษัท การจะตามแก้ปัญหาทีละบริษัทคงจะไม่ทันการณ์แน่" สมชาย เผย
ด้านนายเชน ใจซื่อ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท นิวตริริช จำกัด เจ้าของแบรนด์สินค้าเกษตร "ดาวปูแดง" ได้เปิดเผยในประเด็นเดียวกันว่า หาก สคบ. มีความมุ่งมั่นแก้ไขกฎหมายและให้ 4 สมาคมฯ ขายตรงมานั่งหารือ เพื่อเดินไป สู่เป้าหมายเดียวกัน น่าจะส่งผลดีต่อธุรกิจขายตรงในวงกว้างแน่นอน เพราะเป็นการระดมสมองระดับพระกาฬในวงการขายตรงของ 4 สมาคมชั้นนำ ถือเป็นมิติใหม่แห่งวงการขายตรงเลยทีเดียว ที่ทุกฝ่ายเข้ามาหาทางแก้ไขกฎหมายขายตรง เพื่อหา ทางออกให้กับผู้ที่ทำธุรกิจเครือข่ายในประเทศไทย เพราะปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้นหลายอย่าง เกิดขึ้นเพราะกฎหมายขายตรง ฉบับปัจจุบันยังมีช่องโหว่ให้หาช่องทาง การทำผิด และบางครั้งเจ้าหน้าที่รัฐยังไม่สามารถเข้าไปจับผิดได้
"ที่สำคัญสินค้าบางตัวยังถูกจำกัดให้ขายเฉพาะบางแห่งเท่านั้น ยังไม่ได้ถูกนำขายในแบบธุรกิจขายตรง อย่างสินค้าปุ๋ย ที่ยังถูกจำกัดขายแค่บางแห่งเท่านั้น หากมี การแก้ไขกฎหมายขายตรงแล้ว หวังว่า สินค้าที่ได้รับความนิยมอย่างปุ๋ยจะได้ถูกยกระดับมาขายในลักษณะขายตรงสักที และผมยังมองว่า ยังมีสินค้าอีกหลายอย่าง ที่ทาง สคบ.ยังไม่อนุมัติให้เป็นสินค้าที่ทำธุรกิจขายตรงได้"
"ส่วนการตั้ง "กรมขายตรง" นั้นผมคิดว่าเป็นแนวคิดที่ดี เพราะจะทำให้ธุรกิจแยกตัวออกมาจากทาง สคบ. ชัดเจน จะได้ ทำงานได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น เพราะ สคบ.คงดูแลบริษัทขายตรงที่มีอยู่เป็นจำนวนมากและนับวันจะเปิดเพิ่มขึ้นใหม่เรื่อยๆ คงไม่ไหวแน่ ขณะเจ้าหน้าที่ สคบ. มีน้อยมาก หากมีการตั้งหน่วยงานนี้ขึ้นมาต่างหากจะช่วยทำให้บริษัทขายตรงสามารถ ร้องเรียนปัญหาต่างๆ ได้ และยังเป็นตัวแทน เข้าไปร้องเรียนในการประชุมกับภาครัฐได้ เชื่อว่ามีคนเห็นด้วยมากมายแน่นอน" ซีอีโอ นิวตริริช กล่าว
ทางฝั่ง นายสุธีร์ รัตนนาคินทร์ ประธานกรรมการ บริษัท เอเชีย สุพรีม จำกัด เผยว่า "การรวมตัวของ 4 สมาคมขายตรงไทย เพื่อมาหาทางออกเรื่องการแก้ไขกฎหมายจะเป็นสิ่งที่หลายๆ คนที่เกี่ยวข้อง ทั้งผู้ประกอบการ ผู้บริโภครอให้เกิดขึ้นอยู่นานแล้ว และเป็นการเตรียมความ พร้อมรับมือตลาดเออีซี ที่เกิดขึ้นในปี 2558 เพราะการเตรียมพร้อมที่ดีจะทำให้ปัญหาต่างๆ น้อยลง และจะทำให้เป็นประโยชน์ต่อ ธุรกิจขายตรงไปอีกหลายปี เพราะแก้ไขกฎหมายครั้งเดียว เพื่อประโยชน์สูงสุดทุกฝ่าย และต่อเศรษฐกิจประเทศชาติ"
หวังว่าการเข้ามาปรึกษาหารือกัน จะเป็นการปรองดองซึ่งกันและกัน อยากให้ผู้ใหญ่ที่เข้าประชุมในวันนั้น ช่วยกันหาทางออกที่ส่งผลดีที่สุดต่อทุกฝ่าย ทำอย่างไร ก็ได้ ให้กฎหมายเอาผิดกลุ่มที่หาประโยชน์จากการระดมทุน การแชร์ลูกโซ่ และมันนี่ เกม ที่ถือว่า ยังมีอยู่ในเวลานี้อยากให้ภาพลักษณ์ในวงการขายตรงยกระดับขึ้นไปเหมือนกับธุรกิจประกันฯ รวมถึงสามารถยึดเป็นอาชีพที่สุจริตได้จริงไม่ผิดกฎหมาย เนื่องจากปัจจุบันมีผู้ที่ประสบความสำเร็จกับธุรกิจขายตรงมากมาย มีรายได้จากอาชีพนี้จนเป็นเศรษฐีไปแล้วหลายคน และเปลี่ยนชีวิตพวกเขาได้จริงๆ ทั่วโลกก็มีธุรกิจ เครือข่ายกระจายไปหลายประเทศ และต่างประเทศก็ส่งเสริมให้ทำได้อย่างสุจริต ก็มีแค่บางประเทศเท่านั้นที่ยังไม่เข้าใจ แต่ก็กำลังศึกษาและหาทางแก้ไขกฎหมายอยู่ เพื่อให้เข้ายุคเข้าสมัย เพราะธุรกิจขายตรงจะปฏิเสธไม่ได้ว่าสร้างมูลค่านับแสนล้านบาท
ในส่วนของนายบัญชา เหมินทคุณ รองกรรมการผู้จัดการ ธุรกิจเครือข่าย "เอสเนเจอร์" ในเครือบริษัท ศรีไทยซุปเปอร์แวร์ จำกัด (มหาชน) ให้ความเห็น ว่า อยากให้มีหน่วยงานดูแลเฉพาะขายตรง ขึ้นมาให้เร็วที่สุด เพราะจะได้หมดปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้นอยู่ในเวลานี้ ผู้ประกอบการ ธุรกิจขายตรงจะได้ดำเนินธุรกิจได้อย่างสบายใจ ไม่ต้องปวดหัวกับเรื่องแชร์ลูกโซ่ แม่ทีมย้ายค่ายอะไรเหล่านี้ เพราะกฎหมาย จะเป็นกติกาควบคุมให้เล่นอยู่ในเกมที่ถูกต้อง
"ปัจจุบันสังเกตได้ว่า มีแต่ให้ความรู้เกี่ยวกับกฎหมายขายตรง และให้ข้อมูลเพื่อ จะได้ไม่หลงถูกพวกมิจฉาชีพมาหลอกให้มา ลงทุน คือให้ดูมาตรฐานของบริษัทขายตรง ว่า มีใบรับรองมั้ย ได้ตราสัญลักษณ์ สคบ. หรือยัง ซึ่งเหมือนกับให้ผู้บริโภครู้ข้อมูลเอาไว้เพื่อแค่เอาตัวรอดเท่านั้น และป้องกัน ตัวเองในเบื้องต้น ดูๆ แล้วยังถือว่าหากไม่ศึกษาข้อมูลให้ดีก็ต้องตกเป็นเหยื่อ จึงอยากให้มีการตั้งกรมขายตรงขึ้นมาจะเป็นเรื่องที่ดีที่สุด จะได้แก้ปัญหาต่างๆ ได้หมดสิ้น ไม่ต้องมาคาราคาซังกันอยู่ยังนี้ เมื่อมีหน่วย งานดูแลแล้ว ทุกบริษัทจะได้ปฏิบัติตามกฎอย่างเคร่งครัด เพราะได้ถูกยกระดับให้มีมาตรฐาน เหมือนกรมอื่นๆ และยังเป็นการ ส่งเสริมภาพลักษณ์ขายตรงให้ดูดี ดูไม่น่ากลัวเหมือนแต่ก่อน ที่คนส่วนใหญ่ยังไม่กล้า เข้ามาเสี่ยงเพราะกลัวจะถูกหลอก แต่สุดท้ายคงต้องดูกันต่อไปว่า เมื่อการประชุม หารือของ 4 สมาคมเกิดขึ้น จะช่วยกันแก้ไข หรือยกระดับวงการขายตรงได้อย่างไรต่อไป ในอนาคต" บัญชา กล่าว
ทั้งนี้ เห็นได้ชัดว่า ผู้ประกอบการขาย ตรงส่วนใหญ่ มีความต้องการที่จะเห็นการรวมตัวพูดคุย ของผู้นำ 4 สมาคมขายตรงที่มีอยู่ เพื่อให้เกิดการผลักดันแก้ไขกฎหมาย ขายตรง รวมถึงการตั้งหน่วยงานขึ้นมาดูแล ธุรกิจอย่างเฉพาะ ซึ่งสิ่งนี้กลุ่มผู้นำองค์กรของบริษัทขายตรงเชื่อว่าจะทำให้อุตสาหกรรมถูกยกระดับ และจะทำให้ธุรกิจหมดปัญหาความเป็นธุรกิจสีเทาลงได้