การอภิปรายทั่วไปโดยไม่ลงมติตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 152 ที่ พรรคร่วมฝ่ายค้าน เปิดเวทีถล่มรัฐบาล ภายใต้การนำของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รมว.กระทรวงกลาโหม เมื่อวันที่ 17-18 กุมภาพันธ์ 2565 เป็นเวลา 2 วัน 2 คืนเต็มๆ ผ่านพ้นไปแล้ว แม้ไม่มีการลงมติ ไม่กระทบต่อการดำรงอยู่ของรัฐบาล และนายกฯประยุทธ์
แต่จากการอภิปรายของพรรคฝ่ายค้าน ที่พุ่งเป้าถล่มปมปัญหาในเรื่อง ความล้มเหลวในการควบคุมโรคโควิด–19 ปัญหาเศรษฐกิจปากท้อง สินค้าราคาแพง แม้เป็นข้อมูลเดิมๆ แต่ก็ถือว่า โดนใจประชาชน เพราะเท่ากับเป็นการสะท้อนความเดือดร้อนทุกข์ยากของชาวบ้านให้รัฐบาล ได้หูตาสว่าง ขณะเดียวกันถึงแม้เป็นการอภิปรายที่ไม่มีการลงมติ แต่ก็ถือเป็นการขยายแผล ฉุดรั้งศรัทธารัฐบาลได้ตามเป้าหมาย
ขณะที่ศูนย์สำรวจความคิดเห็น “นิด้าโพล” สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) เปิดเผยผลสำรวจของประชาชน เรื่อง “ยุบสภา…เมื่อไรดี” จากการสำรวจเมื่อถามถึงความคิดเห็นของประชาชนต่อการวางแผนยุบสภาของนายกรัฐมนตรี พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา พบว่า ร้อยละ 68.09 ระบุว่า นายกฯ ไม่มีแผนจะยุบสภา แต่วางแผนจะอยู่ยาวจนครบวาระในปี 2566 อย่างไรก็ตาม เมื่อถามถึงช่วงเวลาที่นายกรัฐมนตรี พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ควรยุบสภา พบว่า
ร้อยละ 58.79 ระบุว่า นายกฯ ควรยุบสภาโดยเร็วที่สุด เนื่องเพราะประชาชนส่วใหญ่เห็นว่า รัฐบาล พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ไม่มีความมั่นคงเลย
ผลสำรวจสะท้อนเสียงดังๆ ประชาชนกำลังทุกข์เข็ญ ยากลำบาก เศรษฐกิจปากท้อง และร่ำร้องให้ยุบสภา เพรียกหาความเปลี่ยนแปลง หวังผู้บริหารประเทศชุดใหม่เข้ามากู้บ้านกู้เมืองจากมหาวิกฤติเศรษฐกิจโควิด สิ้นหวัง “ผู้นำทหารเฒ่า” เลยเวลา “คืนความสุข”
ว่ากันตามนี้ พรรคที่ตีปีกน่าจะเป็นยี่ห้อ “สร้างอนาคตไทย-สอคท.” ภายใต้การนำของนายอุตตม สาวนายน อดีตขุนคลัง ว่าที่หัวหน้าพรรค “สอคท.” ที่โชว์จุดขาย “สินค้าขึ้นห้าง” อย่าง “จอมยุทธ์กวง” นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ อดีตรองนายกฯ มือเศรษฐกิจ เป็นหัวหอกกู้วิกฤติ โดยไม่ติดเงื่อนไขขั้วขัดแย้ง แต่ในมุมตรงกันข้าม ตามตัวเลขของโพลที่ออกมาน่าจะเป็นสัญญาณเชิงลบในสถานการณ์ที่ผู้นำอย่าง “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯและ รมว.กระทรวงกลาโหม ที่มัวแต่แก้ “สมการตัวเลข” แก้โจทย์การเมืองเรื่อง “องค์ประชุม” วนอยู่กับปมสภาล่มซ้ำซาก เพื่อลากเรือเหล็กปะผุ สนิมเนื้อในเกรอะกรังไปลอยลำท่ามกลางคลื่นพายุถาโถม
ท่ามกลาง “การเมืองเรื่องหมาๆ” ที่ดุเดือดเลือดพล่าน ด้านหนึ่งเริ่มมาจาก “พี่โทนี่” อดีตนายกฯ ทักษิณ ชินวัตร เล่าความย้อนหลังเมื่อครั้งพูดคุยในคลับเฮาส์ว่า ครั้งหนึ่งเคยเลี้ยงหมาในบ้านจันทร์ส่องหล้าหลายสิบตัว แต่มีอยู่ตัวหนึ่งฉลาดแต่ชอบแว้งกัดเจ้าของ
แม้ไม่ได้เอ่ยชื่อหมาหรือชื่อคนตรงๆ แต่ก็เป็น “แรมโบ้” นายเสกสกล อัตถาวงศ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำนายกฯ ออกมาตอบโต้อดีตนายใหญ่ ลำเลิกบุญคุณปั้นให้เป็น ส.ส.สมัยแรกเมื่อครั้งอยู่พรรคพลังธรรม อาการแบบนี้เหมือนจำยอมรับสภาพการเมืองในค่ายไทยรักไทยเหมือน “คอกหมา”
และก็เรื่องหมาๆ เหมือนกัน ในคอกบ้านใหญ่ จังหวัดชลบุรี อารมณ์แรงๆ ถึงจุดเบรกแตกแบบที่ “เสี่ยแป๊ะ” นายสนธยา คุณปลื้ม นายกเมืองพัทยา หัวหอกบ้านใหญ่ออกมาซัดคนอยากใหญ่ในค่าย พลังประชารัฐ-พปชร.ยกตัวเองขึ้นชั้นเป็นคนคุมทีม จัดผู้สมัครยี่ห้อพลังประชารัฐในคิวเลือกตั้งรอบหน้า
เปิดฉากไล่ตีหมา แว้งกัดเจ้าของเหมือนนายห้างดูไบ เปรียบเปรยกันลอยๆ แล้วก็เป็น “เสี่ยเฮ้ง” นายสุชาติ ชมกลิ่น รมว.กระทรวงแรงงาน ออกมารับสมอ้างเต็มปากเต็มคำ ฟัดกลับหัวหอกทีมบ้านใหญ่เป็นนัย เป็นหมารักเจ้าของ แต่พอเจ้าของตาย โดนลูกเจ้าของกลั่นแกล้ง เล่นกันแรงจนถึงขนาด “บิ๊กตู่” ต้องโดดออกมาหย่าศึก เบรกเรื่องหมาๆ
หากสังเกตกันให้ดี ก่อนอภิปรายทั่วไป-อภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เกิดมหกรรมการ “ลาออก-ขับออก” ครั้งใหญ่ ของ ส.ส.ทั้งในพรรคฝ่ายค้านและพรรคร่วมรัฐบาล นอกจาก ส.ส.ทยอยลาออกสะสมตั้งแต่ช่วงปีที่แล้วและต้นปี 2565 พวก ส.ส.ยังมีแผนการที่จะลาออก เปลี่ยนพรรคในช่วงก่อน “กฎหมายลูก” จะคลอดในช่วงกลางปีนี้ รวมทั้งจะมีกลุ่มหนึ่งที่จะลาออกช่วงก่อนเลือกตั้ง
ระหว่างที่ ส.ส.ยังไม่ได้ตัดสินใจลาออกอย่างเป็นทางการ จู่ๆ ก็มีรายงานเล่ากันลั่นทำเนียบว่า นายอนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ที่มีลูกพรรครวม 61 เสียง แต่ถ้านับมือ ส.ส.ที่ถูกขับออก-ลาออกจากพรรคร่วมรัฐบาลอีก 3 เสียง รวม ส.ส.งูเห่าที่ยังไม่ลาออก ในพรรคฝ่ายค้านอีกนับ 10 เสียง ยอด ส.ส.เฉพาะภูมิใจไทย อนุทินมีบัญชี ส.ส.ในมือ โหวตได้ทันทีกว่า 70 เสียง หากนับรวมฝ่ายรัฐบาล “อนุทิน” การันตีมี 260 เสียง
ยังมีกลุ่ม ส.ส.ที่รอมัดรวม-ลาออกเป็น “บิ๊กล็อต” ย้ายพรรคไปสังกัดพรรคใหม่และพรรคคู่แข่งอีกชุดใหญ่ คาดกันว่ากลุ่มนี้จะมีหนังสือลาออกอย่างเป็นทางการช่วงก่อนเลือกตั้ง กรณียุบสภาต้องหาพรรคสังกัดภายใน 30 วัน
ปัจจุบัน ส.ส.ในสภาผู้แทนราษฎรปฏิบัติหน้าที่ได้ 475 เสียง ฝ่ายรัฐบาล 267 เสียง ฝ่ายค้าน 208 เสียง จุด “พลิกเกม” ในสภาอยู่ที่พรรคเศรษฐกิจไทยของ “กบฏผู้กอง” ที่ก้ำกึ่งว่าอยู่ข้างฝ่ายรัฐบาลหรือฝ่ายค้านจำนวน 18 เสียง
ปรากฏการณ์ลาออกครั้งใหญ่ของพวก ส.ส. เสียงดังไปไกลถึงดูไบ เข้าหู “ทักษิณ ชินวัตร” คอนเฟิร์มค่าตัว ส.ส.เปลี่ยนขั้วหัวละ 20-30 ล้าน รับเบี้ยประชุมรายเดือนคนละ 2 แสน !!
“ตลาดนักการเมือง” กำลังคึกคักมากขึ้นเรื่อยๆ ทั้ง ส.ส.ปัจจุบัน และ ส.ส.สอบตก ถูกทาบทามจากบรรดาพรรคการเมืองทั้งพรรคปัจจุบัน และพรรคก่อตั้งใหม่ เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการเลือกตั้ง โดยเฉพาะ ส.ส.เขต เนื่องจากการเลือกตั้งครั้งใหม่ จะมี ส.ส.เขตถึง 400 ที่นั่ง ฉะนั้นพรรคใดที่ได้จำนวน ส.ส.และนักการเมืองที่ใช่ จึงมีโอกาสชนะการเลือกตั้งในระดับหนึ่ง
จะว่าไปแล้ว ความเคลื่อนไหวนี้่ เริ่มมาตั้งแต่ปลายปี 2564 ที่เริ่มเห็นพลังดูดคืนชีพ ที่มีข้อเสนอเป็น “แพ็กเกจ” เบื้องต้นมีสัญญาว่าจะให้ก้อนหนึ่ง ที่เหลือก็หล่อเลี้ยงรายเดือน เมื่อเข้าไปสู่โหมดเลือกตั้งจริงๆ และได้เป็นส.ส.กลับมา ก็จะมีโบนัสให้อีก เรียกว่าเป็นนวัตกรรมใหม่ของการดูด
นอกเหนือจาก “นวัตกรรมพลังดูด” แล้ว ขณะนี้ได้มีการนำรายชื่อนักเลือกตั้งมาประเมินเพื่อตัดเกรด ว่าใครอยู่ในเกรดใด และแต่ละพรรคจะมีการประมูลแข่งกัน กว่าจะไปถึงเลือกตั้ง ตัวเลขสุดท้ายของพลังดูด จะเพิ่มขึ้นอีกหรือไม่
ดังนั้น ตลาดการเมืองในขณะนี้ ทุกพรรคจึงเฟ้นหา ส.ส.เพื่อลงสมัครเขต แต่การเฟ้นหานั้น ก็จะมากับพลังดูดคืนชีพ ที่มีเรื่องตัวเลข “กล้วย” เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
ปรากฏการณ์พลังดูด และมีนวัตกรรมที่ใช้ “กล้วย” อย่างมโหฬาร จนอัตราเพิ่มมากกว่าเงินเฟ้อแต่ละปี วัฏจักรการเมืองไทยเช่นนี้
คนที่่จะตัดสินได้ดีที่สุด คือ “ผู้มีสิทธิ์เลือกตั้ง” ที่จะหยุด “วงจรอุบาทว์” ทางการเมืองนี้ได้..!!