Toggle navigation
วันจันทร์ ที่ 9 มิถุนายน 2568
หน้าแรก
ข่าวสาร
วิเคราะห์-บทความ-ต่างประเทศ
ประกัน
ยานยนต์
การเงิน-ธนาคาร
หุ้น-กองทุนรวม
อสังหาริมทรัพย์
พลังงาน-คมนาคม-โลจิสติกส์
อุตสาหกรรม-เออีซี-เอสเอมอี
ไอที
การศึกษา-กทม
การตลาด-ซีเอสอาร์
เกษตรยุคใหม่-ภูมิภาค
บันเทิง
ขายตรง
ประชาสัมพันธ์
PR NEWS -ข่าวประชาสัมพันธ์
ไลฟ์สไตล์
ท่องเที่ยว
แฟชั่นโซไซตี้-ดูดวง
ช๊อป-ชิม-ชิล
สุขภาพ-ความงาม
วิดีโอ-คลิปข่าว
E-Book
นสพ. สยามธุรกิจ
ติดต่อเรา
สามารถส่งข้อมูล ข่าวสาร ทางอีเมลล์ : siamturakijonlinenews@gmail.com และ สำหรับฝ่ายโฆษณา ทางอีเมลล์ : siamturakijadvertising@gmail.com
หน้าแรก
ขายตรง
แนวทางการกำจัดวัชพืชด้วยสารอินทรีย์ที่ถูกหลัก GAP
แนวทางการกำจัดวัชพืชด้วยสารอินทรีย์ที่ถูกหลัก GAP
วันอังคารที่ 02 กันยายน พ.ศ. 2557
Tweet
สถานการณ์การใช้สารเคมีทางการเกษตรของประเทศไทยมีแนวโน้มสูงขึ้นทุกปี โดยทางกรมวิชาการเกษตรได้กล่าวว่าแต่ละปีประเทศไทยมีการนำเข้าสารกำจัดวัชพืชเป็นจำนวนมาก โดยในปี 2554 มีปริมาณนำเข้ารวม 112,176.81 ตัน คิดเป็นมูลค่าสูงถึง 11,479.52 ล้านบาท จากการที่เกษตรกรใช้สารกำจัดวัชพืชอย่างต่อเนื่องมาเป็นเวลานานและมีแนวโน้มจะเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ส่งผลให้วัชพืชหลายชนิดดื้อต่อสารเคมี โดยเฉพาะวัชพืชในนาข้าวและวัชพืชเถาเลื้อยในไร่อ้อยในเขตพื้นที่ภาคกลางและภาคเหนือตอนล่าง ทำให้เกษตรกรต้องใช้สารเคมีเพิ่มมากขึ้น และต้นทุนการผลิตที่สูงขึ้น แต่ไม่มีประสิทธิภาพในการกำจัดวัชพืช
ซึ่งปัญหาวัชพืชดื้อสารเคมีเป็นภัยเงียบที่กำลังคุกคามในหลายประเทศทั่วโลก เนื่องจากอุณหภูมิที่สูงขึ้นจึงยิ่งเอื้อต่อการเจริญเติบโตของวัชพืชและขยายพันธุ์ได้รวดเร็วขึ้น ผลกระทบจากวัชพืชไม่เพียงรบกวนพืชของเกษตรกร แต่ยังเป็นแหล่งอาศัยของแมลงศัตรูพืชและแหล่งสะสมโรคพืชด้วย ขณะเดียวกันวัชพืชยังแย่งธาตุอาหารในดินกับพืชที่ปลูก ซึ่งจะทำให้กระทบต่อการให้ผลผลิต และได้ผลไม่คุ้มค่ากับการลงทุน ถือเป็นปัญหาสำคัญที่คุกคามเกษตรกรหนักขึ้น
นอกจากนี้ การใช้สารเคมีมากเกินความจำเป็น และไม่ถูกต้อง ล้วนทำให้เกิดผลกระทบหลายด้าน ทั้งด้านสุขภาพและสิ่งแวดล้อม อีกทั้งยังมีความเสียหายจากการส่งออกที่มีสาเหตุมาจากสารตกค้างในสินค้าทางการเกษตรประมาณ 800-900 ล้านบาทต่อปี ส่งผลทางลบต่อภาพลักษณ์ของประเทศในฐานะผู้ส่งออกสินค้าทางการเกษตรและอาหารรายใหญ่ของโลก
ถึงเวลาของเกษตรกรยุคใหม่ที่ควรใส่ใจปรับแก้ไข และมีการจัดการทางเกษตรที่ดีตามหลัก GAP (Good Agricultural Practice) ซึ่งเป็นระบบการจัดการกระบวนการผลิตทางการเกษตร โดยผ่านการตรวจสอบถึง 8 ปัจจัย เช่น แหล่งน้ำ พื้นที่ปลูก การใช้วัตถุอันตรายทางการเกษตร การเก็บรักษาและขนย้ายผลผลิตภายในแปลง การบันทึกข้อมูล การผลิตให้ปลอดจากศัตรูพืช การจัดกระบวนการผลิตเพื่อให้ได้ผลิตผลที่มีคุณภาพ และการเก็บเกี่ยวและการปฏิบัติหลังการเก็บเกี่ยว เพื่อให้ได้ผลิตผลที่ปลอดภัย ปราศจากศัตรูพืช และจุลินทรีย์ เป็นที่พึงพอใจของผู้บริโภคในประเทศไทย พร้อมกำจัดวัชพืชด้วยสารอินทรีย์อันเป็นการดูแลผลิตผลอย่างครบวงจรที่ดียิ่งขึ้น และเมื่อเกษตรกรปฏิบัติครบตามเกณฑ์ก็จะได้รับการรับรองจากกรมวิชาการเกษตรและได้รับสัญลักษณ์ “Q” ซึ่งปัจจุบันมีประมาณ 35,000 ราย
ทางธุรกิจเครือข่ายเอสเนเจอร์มีความภูมิใจนำเสนอผลิตภัณฑ์นวัตกรรมการเกษตรล่าสุดที่เป็นสารอินทรีย์ชนิดพิเศษ สกัดจากสนทะเลและสารสกัดนานาชนิดจากธรรมชาติที่ปราศจากสารเคมีที่เป็นอันตรายต่อร่างกายมนุษย์ 100 เปอร์เซ็นต์ ที่สามารถปราบวัชพืชและควบคุมวัชพืชโดยไม่ทำลายพืชประธาน ปลอดภัยต่อผู้ใช้และผู้บริโภค อันเป็นผลงานวิจัยที่ทำการทดลองมากกว่า 10 ปีที่ผ่านมา และพร้อมออกตลาดเพื่อเพิ่มคุณภาพชีวิตของเกษตรกรใน ต้นปี 2558
ดังนั้น จะเห็นได้ว่าธุรกิจเครือข่ายเอสเนเจอร์มีความตั้งใจสร้างสรรค์และนำผลิตภัณฑ์นวัตกรรมเด่นให้หุ้นส่วนธุรกิจ สมาชิกตลอดจนชาวเกษตรกร สามารถสร้างและจัดการผลิตผลทางการเกษตรได้อย่างปลอดภัย พร้อมมีความมั่นคงและมั่งคั่งอย่างยั่งยืน
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
The Associated Press
Happy MPM Business Trip @ จันทบุรี...
...
กิฟฟารีน แนะนำไอเท็มเด็ด “Giffarine Roya...
...
กิฟฟารีน แนะนำไอเท็มเด็ด “Giffarine Adva...
...
“แอมเวย์” ยกระดับสินค้าเพื่อสุขภาพ เปิดต...
...
“กิฟฟารีน” ฉลองความสำเร็จ 29 ปี จัดใหญ่ ...
...
บริษัท สมาร์ท โกลด์ มีเดีย กรุ๊ป จำกัด SMART GOLD MEDIA GROUP CO.,LTD. ติดต่อสอบถาม โทร : 0893284192 , ID Line : @siamturakij และ ฝ่ายโฆษณา siamturakijadvertising@gmail.com
© 2013 สยามธุรกิจ
×
เว็บไซต์ “สยามธุรกิจ” ใช้คุกกี้เพื่อให้ท่านได้รับประสบการณ์การใช้งานที่ดียิ่งขึ้น อ่านนโยบายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (Privacy Policy) และ นโยบายคุกกี้ (Cookie Policy)
กดยอมรับ