ย่างเข้าเมษายน เดือนแห่งความร้อนระอุ แต่ในปีนี้มีความ “ผิดปกติ” ไปจากฤดูร้อนปีก่อนๆ ที่จู่ๆ อุณหภูมิก็ลดลงทั่วประเทศ อุณหภูมิที่เคยพุ่งปรี๊ด 35-38 องศา กลับลดลงมาอยู่ที่ 20 องศาเศษๆ
ขณะที่ “คลื่นความร้อนทางการเมือง” หักเหจากสนามใหญ่ชั่วคราว ไปโฟกัส “สนามเล็ก” ศึกเลือกตั้ง ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ที่เปิดเกมอย่างเป็นทางการ ติดเบอร์ แปะป้าย เปิดยุทธการหาเสียงกันเต็มที่ บรรดา “ตัวเต็ง” อย่าง “ชัชชาติ สิทธิพันธุ์”, “สุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์”, “วิโรจน์ ลักขณาอดิศร”, พล.ต.อ.อัศวิน ขวัญเมือง, น.ต.ศิธา ทิวารี “สกลธี ภัททิยกุล ฯลฯ ต่างลงชิงชัยในนามอิสระ และสังกัดพรรคติดยี่ห้อ
ว่ากันตามจริงทางการเมือง คนที่ลงสมัครรับเลือกตั้งก็มีสิทธิ์ “ลุ้น” แม้จะรู้ว่าไม่มีสิทธิ์ลุ้น แพ้แน่ แต่ก็ยังลงสมัคร เพื่อเป้าหมายอื่น ด้วยเพราะว่าต้องการอัพเกรดตัวเอง การเลี้ยงกระแส ย้ำชื่อพรรคต้นสังกัดให้ติดกระดานการเมือง
แต่ทั้งหมดคือ “สีสัน” ประชาธิปไตย และบรรยากาศนับจากนี้ไปจนถึงวันที่ 22 พฤษภาคม ซึ่งเมืองกรุงจะเต็มไปด้วยป้ายหาเสียง รถแห่วิ่งกันขวักไขว่ ผู้สมัครนำทีมหาเสียงเดินสายหาเสียง
ขณะที่ “การเมืองสนามใหญ่” ได้พักหายใจ และมีเวลาเตรียมแต่งตัว เสริมความพร้อมรับศึกเลือกตั้งสนามใหญ่ ทั้งพรรคเก่า พรรคใหม่ขยับปรับทัพ เช็กกำลังพลไหลเข้าไหลออก ไล่ต้อน ส.ส.เข้าคอก
ที่คึกคักและเห็นชัดกว่าใครก็คือทีม “นายห้างดูไบ” ขุมข่ายพรรคเพื่อไทย ที่อดีตนายกฯ ทักษิณ ชินวัตร เจ้าตำรับ โคตรเซียนการตลาด กดปุ่มยุทธศาสตร์ “ตีปี๊บ” โหมกระแส “แลนด์สไลด์” ย้ำความได้เปรียบตามกติกา “บัตรเลือกตั้ง 2 ใบ” แบบที่เคยทำได้มาแล้วในยุคอดีตพรรคพลังประชาชน และยุคพรรคเพื่อไทยในการเลือกตั้งใหญ่ ทำให้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร สร้างประวัติศาสตร์เป็น นายกฯหญิง คนแรกของเมืองไทย
ล่าสุด เปิดเกมส่ง “ไพ่เด็ด” เปิดไฟเขียวให้ “อุ๊งอิ๊ง” น.ส.แพทองธาร ชินวัตร ทายาทพรรคโดยสายเลือดโดดลงสนาม โชว์ตัวเป็น “นางกวัก” พรรคเพื่อไทย ที่เริ่มจากตำแหน่งประธานที่ปรึกษาพรรคเพื่อไทยด้านนวัตกรรมและการมีส่วนร่วม ก่อนยกระดับขึ้นเป็น “หัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย” ในช่วงการลงพบปะประชาชนที่ร้อยเอ็ด ท่ามกลางความคาดหมายว่า เธอนี่แหละจะเป็นแคนดิเดตชิงนายกรัฐมนตรีคนต่อไป ภายใต้ “ยุทธศาสตร์แลนด์สไลด์” พร้อมๆ กับ “ดักคอ” ขวางการตกปลาในบ่อพรรคเพื่อไทย รวมถึงต้อน ส.ส.กลับเข้าคอกพรรคเพื่อไทย
ความได้เปรียบในกติกาบัตร 2 ใบกลับมาอยู่ในมือ โอกาสชิงพลิกขั้วอำนาจใกล้เคียงความจริงของ “นายห้างดูไบ-เพื่อไทย” แน่นอนว่าการขยับตัวของ “นายห้างดูไบ” ครั้งนี้ก็ไม่ได้รอดสายตาของ “ผู้มีอำนาจ” ในเวลานี้ จึงเกิดปฏิบัติการขวางทุกวิถีทาง โฟกัสไปที่กระบวนการจัดทำกฎหมายลูก ทั้ง พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง โดยเฉพาะร่าง พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้ง
ล่าสุด คณะกรรมาธิการวิสามัญฯ ที่มี นายสาธิต ปิตุเตชะ รมช.กระทรวงสาธารณสุข ในฐานะรองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ เป็นประธาน ได้ลงมติชี้ขาดด้วยเสียงข้างมาก ให้ใช้ บัตรเลือกตั้ง ส.ส.เขต และ ส.ส.บัญชีรายชื่อ เป็นคนละเบอร์กัน ตรงตามเสียงส่วนใหญ่ของพรรคร่วมรัฐบาล โดยเฉพาะค่ายพลังประชารัฐ ตรงข้ามกับพรรคเพื่อไทยที่ต้องการให้ใช้เบอร์เดียวทั่วประเทศ
เท่ากับว่ายุทธการ “แลนด์สไลด์” สะดุดปมแรก เพราะบัตรเลือกตั้งคนละเบอร์ น่าจะสร้างความยากลำบากให้ผู้สมัคร ส.ส.หาเสียงลำบาก ในการแยกหาคะแนนให้ตัวเองกับหาคะแนนให้พรรค และก็ไม่ต้องพูดถึงประชาชนที่อาจสับสนในการเลือกกาบัตร เลือก ส.ส.เขต กับเลือกพรรค โอกาสคะแนนไม่ไหลไปทางเดียวกันเป็นไปได้สูง
และนั่นก็จะรวมไปถึงการนับคะแนน ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ ที่เสียงของพรรคร่วมรัฐบาล นำโดยค่ายพลังประชารัฐ ต้องการให้ใช้การคำนวณแบบจัดสรรปันส่วนผสม ด้วยการหารด้วย 500 แบบการเลือกตั้งใหญ่ครั้งที่ผ่านมา เปิดทางให้พวก “ส.ส.ปัดเศษ” ได้ลุ้นแต้มหลักหมื่น ขณะที่พรรคเพื่อไทยต้องการให้หารด้วย 100 ตามการคำนวณแบบการเลือกตั้งตามรัฐธรรมนูญ ปี 2540 ปิดทางลุ้นของพวก ส.ส.ปัดเศษ ดันแต้ม ส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์ขึ้นไปหลักแสน
ขณะเดียวกัน “ทีมอำนาจพี่น้อง 3 ป.” ที่มีข่าว “แก้วที่ร้าวแล้ว” คืนสู่ความสัมพันธ์ เมื่อ “พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” นายกรัฐมนตรี “น้องเล็ก” จูงมือ “พี่รอง-พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา” รมว.กระทรวงมหาดไทย เข้าคารวะ “พี่ใหญ่-พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ” รองนายกรัฐมนตรี หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ กลับมารวมพลังรวมตัวยื้อกระแส “แลนด์สไลด์” แบบสุดแรงเกิด
ทั้งงัดแผน “แตกแบงก์ร้อยเป็นแบงก์ยี่สิบ” แบบที่มีการตั้งพรรครวมไทยสร้างชาติ เตรียมพรรคไทยสร้างสรรค์ แยกตัวออกมาจากค่ายพลังประชารัฐ รวมถึงขัดปม “สนิมเนื้อใน” ที่มีปัญหามาอย่างต่อเนื่อง คาดหมายกันว่าในช่วงเดือนเมษายน ก่อนจะถึงวันทำศึกอภิปรายไม่ไว้วางใจ “พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” จะปรับ ครม.อีกครั้ง โดยดึง 18 เสียงกลุ่ม “ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า” ที่แม้จะถูกมติขับออกจาก พปชร.แล้ว แต่ยังอยู่ในอาณัติของ “พี่ป้อม” มาเป็นพรรคร่วม โดยคืน 2 ที่นั่งซึ่งยังว่างอยู่คืนเจ้าของเดิม โดยที่ “ผู้กองธรรมนัส” จะไม่รับตำแหน่ง แต่จะส่งคนในคาถาจากพรรคเศรษฐกิจไทยมารับตำแหน่งแทน
ขณะที่เดียวกันก็มีการจับจ้องไปที่ความเคลื่อนไหวของพรรคพลังประชารัฐ ที่มีการประชุมใหญ่สามัญพรรคพลังประชารัฐที่ผ่านมา ไฮไลต์น่าจะอยู่ที่การตั้งกรรมการบริหารพรรคที่ว่าง 4 คน ผลปรากฏว่า พล.อ.กฤษณ์โยธิน ศศิพัฒนวงษ์”, พล.อ.ธัญญา เกียรติสาร, นายวิเชียร ชวลิต ส.ส.บัญชีรายชื่อ และ นายพรชัย ตระกูลวรานนท์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ ได้ดำรงตำแหน่งแทน
โดย 2 ใน 4 คนที่น่าสนใจคือ “พล.อ.กฤษณ์โยธิน ศศิพัฒนวงษ์” หรือ เสธ.โย อนุกรรมการฝ่ายหารายได้ มูลนิธิป่ารอยต่อฯ และอดีตฝ่ายเสนาธิการ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ เมื่อครั้งดำรงตำแหน่ง รมว.กระทรวงกลาโหม ขณะที่อีกคน คือ “พล.อ.ธัญญา เกียรติสาร” หรือ แม่ทัพอี๊ด อดีตแม่ทัพภาคที่ 2
ทั้ง 2 คนถือเป็นคนสนิทเบอร์ต้นๆ ของพล.อ.ประวิตร หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ มือทำงานที่ได้รับความไว้วางใจ เป็นมือเป็นไม้ช่วย “บิ๊กป้อม” ดูแล ส.ส.พลังประชารัฐ มาตั้งแต่ต้น การมีตำแหน่งเป็นกรรมการบริหารพรรค ของ “เสธ.โย” ก็เพื่อประสิทธิภาพ ยับยั้งภาวะเลือดไหลออก จะได้มั่นใจ ว่า “บิ๊กป้อม” รันการเมืองต่ออย่างจริงจัง ไม่วางมือลอยแพลูกพรรค
ขณะที่ “แม่ทัพอี๊ด” พล.อ.ธัญญา ถือเป็นสายเหยี่ยว มือลุยของ “บิ๊กป้อม” เป็นหนึ่งในเบื้องหลังทางการเมืองยุค “3 ป.” มานาน มีส่วนสนับสนุนในการสู้ศึกของ “พลังประชารัฐ” มาหลายต่อหลายสนาม ตั้งแต่ “เลือกตั้งใหญ่” และ “เลือกตั้งซ่อม” การวางตัว “แม่ทัพอี๊ด” เป็นกรรมการบริหารพรรค และเป็นกรรมการสรรหาผู้สมัครรับเลือกตั้งดูแลพื้นที่ภาคอีสานตอนบน
การที่ “บิ๊กป้อม” ดึง “เสธ.โย” และ “แม่ทัพอี๊ด” เข้าไลน์การเมืองครั้งนี้ก็เตรียมรับ “ศึกเลือกตั้งใหญ่” เต็มตัวก็เพื่อผนึกกำลังภายใน “พลังประชารัฐ” ให้เป็นหนึ่ง เพื่อเดินหน้าขัดขวาง “เพื่อไทย” ไม่ให้ถึงฝัน กวาดเก้าอี้ “ส.ส.” แบบแลนด์สไลด์ ถล่มทลายตามเป้าหมายคนแดนไกล
ขณะที่กองหนุน “บิ๊กตู่” เองต้องไล่เก็บแต้มทุกเม็ด เพื่อไปรวมกับ “250 ส.ว.ลากตั้ง” ปฏิบัติการแห่ท่านผู้นำทำแฮตทริกนายกฯ รอบ 3
ลากยาวอำนาจแบบมาราธอน...!!