สคบ.จัดเสวนาผู้ประกอบการธุรกิจขายตรง หวังพัฒนาระบบการ คุ้มครองผู้บริโภค การบังคับใช้นโยบายและกฎหมายจริงจัง สั่งจับตา ใกล้ชิด 3 บริษัทขายตรงนอกแถว มูลค่าความเสียหายกว่าพันล้าน เตรียมผุด! เว็บไซต์จดทะเบียนออนไลน์ ป้องผลประโยชน์ผ่านคนกลาง
การจัดเสวนาแนวนโยบายภาครัฐในการสนับสนุนและกำกับดูแลธุรกิจขายตรงยุคใหม่ ปี พ.ศ.2558 เมื่อวันอังคารที่ 16 กันยายน 2557 ที่ผ่านมา โดยมี นายอำพล วงศ์ศิริ เลขาธิการ สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) เป็นประธาน พร้อมทั้ง 5 สมาคมขายตรง ประกอบด้วย สมาคมการขายตรงไทย (TDSA), สมาคมอุตสาหกรรมขายตรงไทย (TDIA), สมาคมพัฒนาการขายตรงไทย (TSDA), สมาคมธุรกิจเครือข่ายขายตรงไทย (TDNA) และ สมาคมนักการตลาดแบบตรงไทย (TDMA) เพื่อรับฟังและแลกเปลี่ยนความคิดเห็นระหว่างภาครัฐและภาคเอกชนในการยกระดับภาพลักษณ์ธุรกิจขายตรงให้มีมาตรฐานสากล ณ โรงแรมวินเซอร์ สุขุมวิท ห้องเพชรไพลิน ชั้น11 กรุงเทพมหานคร
นายอำพล วงศ์ศิริ เลขาฯ สคบ. ได้กล่าวถึงการเปิดงานเสวนาในครั้งนี้ว่า ปัจจุบันด้วยสภาพเศรษฐกิจที่เปลี่ยนไปทำให้มีผู้ให้ความสนใจ หันมาประกอบธุรกิจขายตรงเป็นจำนวนมาก ขณะเดียวกันก็พบปัญหาต่างๆ ที่ตามมามากมาย อาทิ การนำสินค้าที่ไม่ได้รับอนุญาตมาแอบแฝงขาย ปัญหาการหาสมาชิกโดยการอธิบายแผนการจ่ายผลตอบแทนที่บิดเบือนไปจากแผนที่ได้รับอนุญาต ทำให้เกิดความเสียหายต่อผู้บริโภคและธุรกิจอย่างมาก เพื่อเป็นการเสริมสร้างและพัฒนาระบบการคุ้มครอง ผู้บริโภครวมถึงกระบวนการยุติธรรมและการบังคับใช้กฎหมายอย่างจริงจังและถูกต้อง จึงได้เชิญผู้ประกอบธุรกิจ มาร่วมพูดคุยทำความเข้าใจในธุรกิจขายตรง โดยทาง สคบ.ได้เตรียมกำหนดนโยบายธุรกิจขายตรงออกมาใช้ในปี 2558 เพื่อแก้ปัญหาทั้งภาค รัฐและเอกชน เพื่อจะส่งเสริมธุรกิจ ขายตรงให้มีภาพลักษณ์ที่ดี มีมาตรฐานสากล ในการเตรียมรับมือสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน หรือ เออีซี โดยจะเป็นการป้องกันธุรกิจขายตรงให้ปลอดภัยแข็งแรง
เลขาฯ สคบ. ยังได้กล่าวต่อว่าการจัดเสวนาในครั้งนี้ขึ้น เพื่อให้ผู้ประกอบธุรกิจได้รับทราบถึงนโยบายภาครัฐในการสนับสนุนและกำกับดูแลธุรกิจขายตรง และประสานการ ทำงานร่วมกัน โดยปีที่ผ่านมาธุรกิจ ขายตรงเจริญเติบโตสูงขึ้นมาก โดยเฉพาะประเทศเพื่อนบ้านอย่าง กัมพูชา และเมียนมาร์ ที่ผู้ประกอบการไทยไปเปิดตลาดขายตรงเป็นจำนวนมาก จึงต้องหารือกันว่าจะทำอย่างไรที่จะสร้างรายได้ให้ประชาชน มีความมั่นคงและรองรับประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนในปีหน้า
“สิ่งที่น่าเป็นห่วงคือเรื่องการทำธุรกิจผ่านระบบออนไลน์ที่แฝงในรูปแบบของแชร์ลูกโซ่พบว่ามีการระบาดอย่างหนักในขณะนี้ โดยพบว่ามี 3 บริษัทที่ต้องจับตามองอย่างใกล้ชิด ว่าเข้าข่ายดำเนินธุรกิจนอกระบบหรือไม่ เบื้องต้นน่าจะมีมูลค่าความเสียหายไม่ต่ำกว่าหลักพันล้านบาท แต่หากปล่อยทิ้งไว้อาจจะสร้างความเสียหายเป็นมูลค่าระดับหมื่นล้านบาท ขณะนี้ทาง สคบ.กับดีเอสไอ อยู่ระหว่างการติดตามตรวจสอบ โดยจะต้องมีการเก็บรวบรวมข้อมูลให้ชัดเจนก่อนถึงจะเอาผิดได้ แต่ขอยืนยันว่าสคบ.มีนโยบายส่งเสริมธุรกิจที่ถูกกฎหมาย สินค้ามีคุณภาพและต้องป้องปรามการหลอกลวงประชาชน”
อย่างไรก็ตาม สคบ.ยังได้มีการ พัฒนาเทคโนโลยีให้มีความทันสมัยให้กับผู้ประกอบการที่มีความประสงค์ที่จะประกอบธุรกิจขายตรงด้วยการเปิดให้จดทะเบียนผ่านทางระบบออนไลน์ได้ เพราะจะช่วยลดขั้นตอนและอำนวยความสะดวกให้ง่ายขึ้น ไม่ต้องเสียเวลาผ่านคนกลางที่ทำผิดด้วยวิธีต่างๆ ซึ่งถือเป็นการทำลายภาพลักษณ์องค์กรให้กลายเป็นสีดำ ขณะนี้อยู่ในช่วงระหว่างดำเนินการคาดว่าจะเสร็จสมบูรณ์เร็วๆ นี้ และเชื่อว่าวิธีดังกล่าวนี้จะช่วยกำจัด เจ้าหน้าที่รัฐที่ไม่ซื่อสัตย์ไม่ให้ทำผิดแบบนี้ได้แน่นอน
ทางด้าน นายชัยณรงค์ โชไชย รองอธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กล่าวว่า กรมพัฒนาธุรกิจการค้าได้มีการพัฒนาแอพพลิเคชั่นข้อมูลข่าวสาร เกี่ยวกับธุรกิจให้มีความทันสมัยเช่นกัน โดยขณะนี้ได้เปิดให้ประชาชนสามารถเข้าไปดาวน์โหลดข้อมูลข่าวสารได้ที่ DBD e-Service เป็นโปรแกรมตรวจสอบข้อมูลนิติบุคคลซึ่งออกแบบมาเพื่ออำนวยความสะดวกแก่ผู้ใช้งาน ให้สามารถตรวจสอบข้อมูลนิติบุคคล และข่าวประชาสัมพันธ์ต่างๆ ของกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ได้อย่างง่ายดาย
สำหรับคุณสมบัติพิเศษของโปรแกรมดังกล่าวนี้ สามารถตรวจสอบข้อมูลนิติบุคคล เช่น เลขทะเบียน ชื่อ วันที่จดทะเบียน สถานะ ทุนจดทะเบียน ที่ตั้ง หมวดหมู่ธุรกิจ วัตถุประสงค์ ปีที่ส่งงบการเงิน กรรมการของนิติบุคคล โดยสามารถค้นจากเลขทะเบียนนิติบุคคล หรือชื่อของนิติบุคคล ซึ่งยังสามารถดูข้อมูลข่าวประชาสัมพันธ์ และยังบริการฟรี เหมาะเป็นคู่มือการใช้งานของผู้ประกอบธุรกิจได้เป็นอย่างดี