เล่นจริงเจ็บจริงที่ สคบ. ยุค ‘อำพล สไตล์’ ดึงคนขายตรงแก้ขายตรงจนได้เรื่อง

วันจันทร์ที่ 29 กันยายน พ.ศ. 2557

เล่นจริงเจ็บจริงที่ สคบ. ยุค ‘อำพล สไตล์’ ดึงคนขายตรงแก้ขายตรงจนได้เรื่อง


กลายเป็นข่าวฮือฮาอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนกับ สคบ. หน่วยงานที่ไม่เคยมีข่าวคราวร้อนแรงให้เห็น แต่วันนี้ยุคที่นายอำพล วงศ์ศิริ นั่งกุมบังเหียนในฐานะเลขา สคบ.ก็เกิดเรื่องอื้อฉาวขึ้นจนได้
ย้อนไปตั้งแต่ยุคที่หน่วยงานนี้ได้รับสถานะเทียบเท่ากรมมีเลขาธิการมาแล้วก่อนนี้ 4 ท่านไม่เคยมีเรื่องอื้อฉาวในลักษณะนี้มาก่อน การแต่งตั้งเลขาฯ แต่ละครั้งก็ราบเรียบไร้ปัญหา จะมีหวือหวาอยู่บ้างก็คือยุคที่ “นายจิรชัย มูลทองโร่ย” จะขึ้นรับตำแหน่งเลขาฯ โดยมีคู่แคนดิเดตคือ “นายนพปฎล เมฆเมฆา” ที่ขึ้นป้ายลุ้นชิงตำแหน่งโดยมีเจ้าของบริษัทขายตรงรายหนึ่งพร้อมอดีตเลขาฯ สคบ.ออกแรงหนุนเต็มที่ ถึงขนาดที่มีการปล่อยข่าวโจมตีนายจิรชัยต่างๆ นานา แต่ที่ร้ายกว่านั้นกลุ่มคนที่หนุนนายนพปฎลได้ทำจดหมายถึงต้นสังกัดสคบ.กล่าวหานายจิรชัยทุจริตเงินรายได้จากการจัดงานวันคุ้มครองผู้บริโภค หวังสกัดการขึ้นตำแหน่ง ที่หนักเข้าไปอีกเมื่อเห็นว่าสกัดไม่ได้ได้มีการทำจดหมายลงชื่ออดีตคนที่เคยบริหารสคบ.และอยู่กับเจ้าของบริษัทขายตรงแห่งนั้นส่งถึงสถาบันชั้นสูงแห่งหนึ่ง ซึ่งเป็นองค์กรที่ข้าราชการทั้งประเทศเกรงกลัว หวังจะน็อกคุณจิรชัยให้อยู่หมัด แต่สุดท้ายก็เหลวเพราะองค์กรดังกล่าวไม่บ้าจี้ด้วย นายจิรชัยจึงขึ้นเป็นเลขาฯ สคบ.คนก่อนหน้าเลขาฯ คนปัจจุบัน
แต่ใช่ว่าทุกอย่างจะจบแค่นั้น หลังจากนายจิรชัยเป็นเลขาฯ ได้อยู่ระยะหนึ่ง ด้วยความที่อาจจะทำงานไม่เข้าขากับรัฐมนตรีที่คุมสคบ.ในยุคนั้น รวมกับข้อมูลของกลุ่มที่ต้องการล้มนายจิรชัย เป็นผลให้นายจิรชัยถูกเด้งไปนั่งเป็นผู้ตรวจการฯ สำนักนายกรัฐมนตรีจนปัจจุบัน และเป็นผลให้นายอำพล วงศ์ศิริ ข้ามห้วยจากกระทรวงยุติธรรมมาเป็นเลขาฯ คนใหม่
+ แล้วประวัติศาสตร์อื้อฉาวก็เริ่มต้นในยุคนี้
หลังจากนายอำพลข้ามห้วยมานั่งในตำแหน่งใหม่ ซึ่งไม่ใช่งานที่คุ้นเคยมาก่อนเลย แทบจะต้องเรียนรู้กันใหม่ โดยเฉพาะการกำกับดูแลธุรกิจขายตรงที่ต้องถือว่าเป็นมือใหม่ จุดนี้เองที่กลายเป็นช่องและโอกาสให้ นายสมชาย หัชลีฬลา ประธานกรรมการ บริษัท จอย แอนด์ คอยน์ คอร์ปอเรชั่น และนายกสมาคมพัฒนาการขายตรงไทย และนาย อนุวัฒน์ ธรมธัช อดีตเลขา สคบ.ที่นายสมชายดึงไปร่วมงานตั้งแต่เกษียณใหม่ๆ เมื่อหลายปีก่อน ทั้งสองคนโดยเฉพาะนายสมชายเข้า ไปเป็นที่ปรึกษาทำงานใกล้ชิดกับ นายอำพล และกลายเป็นที่มาของเรื่องราวต่างๆ และเรื่องอื้อฉาวในปัจจุบัน โดยงานแรกที่เลขาฯ สคบ.คนใหม่เปิดเกมกำกับดูแลธุรกิจขายตรงก็คือการเรียกประชุมผู้ประกอบการในนามของสมาคมต่างๆ เพื่อเสนอให้มีการจัดตั้งสภาวิชาชีพขายตรง โดยมีนายสมชายคอยให้คำปรึกษาและช่วยงานอย่างใกล้ชิด ซึ่งสามารถรับรู้ได้ในการประชุมทุกครั้ง นั่นจึงกลายเป็นจุดเริ่มต้นให้คนขายตรงจากสมาคมอื่นๆ ที่เข้าร่วมประชุมด้วยเริ่มตั้งข้อสังเกตถึงการทำหน้าที่ของนายสมชาย ที่ดูจะล้ำเส้นมากไป แม้ว่าคุณอำพลจะพยายามผลักดันโครงการนี้ด้วยการจัดประชุมตามมาอีกหลายครั้ง แต่ลึกๆ แล้วสมาคมอื่นๆ ก็เริ่มมีข้อกังขาอยู่ในใจต่อความสัมพันธ์ของนายสมชายและนายอำพล มีการต่อสายพูดคุยระหว่างผู้บริหารสมาคมอื่นๆ ซึ่งไม่อยากเข้าร่วมโครงการนี้ สุดท้ายก็ยังไม่มีความคืบหน้าใดๆ ของโครงการดังกล่าว
นอกจากเรื่องดังกล่าวแล้วยังมีการทำงานอื่นๆ ที่นายสมชายเข้าไปเกี่ยวข้องโดยจะเห็นได้จากมีนายสมชายไปร่วมงานสัมมนาแทบจะทุกงานของ สคบ.ในหลายบทบาท
การเข้าไปมีบทบาทของนายสมชายจนต่อมานายอำพลได้เปิดรับอย่างเต็มที่ โดยการแต่งตั้งเป็นที่ปรึกษาตามที่ไทยรัฐเสนอข่าวไปแล้วนั้นถือเป็นจุดพลาดที่สำคัญของเลขาฯคนปัจจุบัน เนื่องจากการนำคนขายตรงเข้าไปแก้ปัญหาในธุรกิจขายตรงนั้นถือเป็นเรื่องที่ดีเพราะจะได้ข้อมูลโดยตรง แต่จุดพลาดก็คือการที่นายอำพลไม่ได้เปิดให้กลุ่ม อื่นๆ หรือสมาคมอื่นๆ เข้าไปมีบทบาทร่วมกันอย่างเท่าเทียม หากจะดูที่เจตนาของนายอำพลที่ยังใหม่กับงานและตั้งใจที่จะแก้ปัญหาให้กับผู้บริโภคจึงต้องการมือไม้และมันสมองที่มาช่วยทำงานซึ่งเป็นเจตนาที่ดี แต่จุดพลาดสำคัญคือการเลือกนายสมชายมาเป็นที่ปรึกษาใกล้ชิดและทำงานด้วยกันแบบต่อ เนื่องเพียงรายเดียว เนื่องจากนายสมชายยังมีจุดอ่อนและจุดอันตรายต่อสถานะชื่อเสียงเลขาฯ สคบ. เนื่องจากนายสมชายยังไม่ใช่คนที่มีประสบการณ์ในการบริหารธุรกิจขายตรงมากพอที่จะเป็นที่ยอมรับในวงการขายตรง และโดยบุคลิกส่วนตัวยังมีจุดอ่อนเรื่องขาดมนุษยสัมพันธ์ที่ดีอย่างมาก ยิ่งเมื่อได้ทำงานใกล้ชิดและเข้าไปทำงานที่ปรึกษาใน สคบ.แบบล้ำเส้นมากเกินไป สร้างความไม่พอใจกับเจ้าหน้าที่อย่างมาก ซึ่งเกิดขึ้นให้เห็นในการประชุมหลายๆ ครั้งที่ สคบ.
เมื่อเหตุการณ์เกิดขึ้นหลายครั้งนานเข้าก็เกิดการสั่งสมความไม่พอใจ และกลายเป็นเหตุการณ์อื้อฉาวเมื่อหนังสือพิมพ์ไทยรัฐได้ระบุถึงการลงนามแต่งตั้งที่ปรึกษาสำนักงานด้านการพัฒนาระบบการคุ้มครองผู้บริโภค ของ นายอำพล วงศ์ศิริ เลขาธิการ สคบ.ซึ่งถูกระบุว่านายสมชาย หัชลีฬหา เป็นเจ้าของบริษัทขายตรง แถมยังได้ระบุถึงพฤติกรรมที่สร้างความไม่สบายใจต่อบรรดาบริษัทขายตรงที่หวั่นเกรงว่าจะเกิดปัญหาในเรื่องของผลประโยชน์ทับซ้อนเนื่องจากสคบ.เป็นหน่วยงานที่ควบคุมดูแลการประกอบธุรกิจขายตรง แต่กลับมาแต่งตั้งเจ้าของธุรกิจขายตรงมาเป็นที่ปรึกษา รายงานข่าวยังได้ระบุว่าที่ปรึกษาคนดังกล่าวยังได้เข้าไปมีบทบาทสำคัญในฐานะคณะกรรมการว่าด้วยโฆษณา มีอำนาจหน้าที่ตามที่กำหนดไว้ใน พ.ร.บ.คุ้มครองผู้บริโภค พ.ศ.2522 ในส่วนที่เกี่ยวกับการคุ้มครองผู้บริโภคด้านการโฆษณา โดยได้มีการลงนามแต่งตั้งในคำสั่งคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภคที่ 2/2557 ลงวันที่ 1 ส.ค.2557 โดย พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว รมว.กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ซึ่งขณะนั้นดำรงตำแหน่งรองหัวหน้าคสช.และหัวหน้าฝ่ายกิจการพิเศษ กำกับดูแลสำนักนายก
ขณะเดียวกันยังได้มีคำสั่งคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภคที่ 1/2557 ลงวันที่ 1 ส.ค.2557 แต่งตั้งคณะกรรมการว่าด้วยฉลากแทนชุดเดิมที่ครบวาระ 2 ปี ซึ่งปรากฏว่ามี นาย อนุวัฒน์ ธรมธัช อดีตเลขาธิการสคบ. ปัจจุบันดำรงตำแหน่งเป็นที่ปรึกษาบริษัทขายตรงยักษ์ใหญ่รายหนึ่ง เป็นประธาน นอกจากนี้ ตามรายงานข่าวยังมีการระบุถึงการให้ที่ปรึกษาคนดังกล่าวได้เข้าไปมีบทบาทในศูนย์คุ้มครองผู้บริโภคแห่งชาติ ตามนโยบายของประธาน คคบ. ซึ่งจะต้องกำกับดูแลงบประมาณในกองทุนเยียวยาผู้บริโภค ซึ่ง สคบ.ได้กำหนดงบฯ ในการดำเนินการจัดตั้งศูนย์ฯ ดังกล่าววงเงิน 7 ล้านบาท แถมยังมีการแฉต่อถึงวุฒิการศึกษาของนายสมชาย ที่ใช้คำนำหน้าว่า “ดอกเตอร์” โดยระบุว่ามีการจบจากสถาบัน AIT แต่จากการตรวจสอบได้รับการยืนยันว่าไม่มีหลักสูตรการเรียนการสอนแต่อย่างใด
อย่างไรก็ตาม หลังเกิดปรากฏการณ์แฉเกิดขึ้น นายอำพลได้ออกมาชี้แจงต่อกรณีดังกล่าวโดยไทยรัฐได้พาดหัวข่าวว่าเป็นการ “ยกแม่น้ำทั้งห้าชี้แจงไม่ขัดหลักธรรมาภิบาล” โดยในเนื้อข่าวได้มีการระบุไว้ตอนหนึ่งว่าหากสื่อมวลชนเห็นว่าไม่ถูกต้อง ตนก็น้อมรับ ก็จะไปเรียนให้ทั้งสองคนลาออกจากตำแหน่ง เพื่อให้เกิดความสบายใจของทุกฝ่าย แถมยังได้ระบุต่อว่ากรณีของนายสมชายนั้นแม้จะลาออกจากคณะกรรมการว่าด้วยโฆษณาแต่ก็ยังให้ทำหน้าที่เป็นที่ปรึกษาส่วนตัวของตนเองอยู่ พร้อมให้เหตุผลว่าเพราะที่ปรึกษาไม่ได้เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับหน่วยงาน สคบ.ในเชิงลึก ไม่สามารถสั่งการเจ้าหน้าที่ ของ สคบ.ได้ เพราะคนที่สั่งการได้คือตนเองที่เป็นเลขาฯ สคบ.
ล่าสุด มีรายงานข่าวที่เชื่อถือ ได้ระบุว่าตามที่มีรายงานข่าวว่านายอำพลจะขอให้ที่ปรึกษาลาออกนั้น คาดว่านายสมชายคงลาออก แต่เชื่อ ว่านายอนุวัฒน์ที่ได้รับการแต่งตั้งเป็นประธานคณะกรรมการว่าด้วยฉลาก จะไม่ลาออกอย่างแน่นอน เนื่อง จากเป็นตำแหน่งสำคัญและมีบทบาทสูงมาก การจะลาออกกันง่ายๆ ไม่ใช่วิสัยของคนแบบนายอนุวัฒน์
วันนี้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าการบริหารจัดการเพื่อแก้ปัญหาธุรกิจขายตรงในแบบอำพลสไตล์ที่มีนายสมชายและนายอนุวัฒน์ ควงแขนเป็นลูกคู่ไปด้วยนั้น ถึงแม้เลขาฯอำพลจะมีความตั้งใจดีในการทำงาน ถือว่าผิดพลาดอย่างแรง โดยเฉพาะการใช้งานนายสมชายซึ่งมีบุคลิก โฉ่งฉ่างขาดมนุษยสัมพันธ์ที่ดี ผูกขาดบทบาทมากไป ไม่แบ่งพื้นที่ให้สมาคมอื่นๆ ทำให้เกิดความไม่ร่วมมือกับกลุ่มอื่นๆ
ข่าวอื้อฉาวที่เกิดขึ้นโดยเฉพาะข่าวที่ลงในหนังสือพิมพ์ไทยรัฐต่อเนื่องกัน 3 ฉบับในหน้าเศรษฐกิจถือว่าเป็นเรื่องที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนเนื่องจากมีการตีแผ่แฉพฤติกรรมโดยเฉพาะกรณีนายสมชาย ถึงขนาดขุดคุ้ยประวัติด้านการศึกษาว่าไม่ได้เป็นดอกเตอร์จริงตามที่กล่าวอ้าง และพูดถึงบทบาทหน้าที่ที่ไม่เหมาะสมรวมถึงการที่เลขาฯอำพลแต่งตั้งคนวงการขายตรงเข้าไปช่วยกำกับดูแลธุรกิจขายตรง ซึ่งถือว่าไม่มีธรรมา ภิบาลแถมยังมีการนำเสนอเรื่องถึง ม.ล.ปนัดดา ดิสกุล รัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯ ให้เข้ามาจัดการเรื่องนี้เสียที แม้จะไม่ได้พูดตรงๆ ว่าให้เด้งเลขาฯ สคบ.ไปที่อื่น ก็อาจจะแปลความเป็นอย่างนั้นได้ เรื่องนี้ถือว่าเล่นกันตรงๆ เล่นกันจริงๆ และมีคนเจ็บจริง โดยเฉพาะเลขาฯ อำพล และนายสมชายที่เลือดโชกไปทั้งคู่
งานนี้เลขาฯ สคบ.จะโดนเด้ง หรือไม่ ต้องติดตามกันต่อไป


บริษัท สมาร์ท โกลด์ มีเดีย กรุ๊ป จำกัด SMART GOLD MEDIA GROUP CO.,LTD. ติดต่อสอบถาม โทร : 0893284192 , ID Line : @siamturakij และ ฝ่ายโฆษณา siamturakijadvertising@gmail.com
© 2013 สยามธุรกิจ