สื่อมวลชนประชุมร่วมภาคีสสส.ถกปัญหาเทศกาลสงกรานต์ ปี 65 รุนแรงตายคาที่ เพิ่มขึ้นจากขับรถเร็ว แฉสูญเสียไม่ต่างจากสงคราม 15 ปีสงกรานต์ไทยตายไป 6,183 คน เจ็บอีกเกือบ 400,000 คน เรียกร้องสร้างจิตสำนึกรับผิดชอบ เพิ่มบทบาทท้องถิ่น บังคับใช้กฎหมายจริงจัง อย่าทำแบบไฟไหม้ฟาง
.jpg)
.jpg)
มูลนิธิสื่อเพื่อสุขภาวะ (มสส.) ร่วมกับสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) จัดประชุมโฟกัสกรุ๊ป ถอดบทเรียนเทศกาลสงกรานต์ที่เพิ่งผ่านพ้นไป เพื่อระดมความคิดเห็นสื่อมวลชน ในหัวข้อ ”2565 : สงกรานต์หรือสงคราม ...แก้ปัญหาอย่างไรในมุมสื่อ” จากปัญหาอุบัติเหตุและการทะเลาะวิวาท ผ่านระบบ Application Zoom เมื่อวันที่ 21 เมษายน 2565 โดยมีนายวิเชษฐ์ พิชัยรัตน์ สื่อมวลชนอาวุโส เป็นผู้ดำเนินรายการ

นพ.ธนะพงศ์ จินวงษ์ ผู้จัดการศูนย์วิชาการเพื่อความปลอดภัยทางถนน (ศวปถ.) กล่าวว่าสงกรานต์ปีนี้เริ่มผ่อนคลายมาตรการโควิด การเดินทางจึงเพิ่มขึ้น 6.2 เปอร์เซ็นต์ เทียบกับปี 2564 ที่น่าเป็นห่วงคือความรุนแรงจากอุบัติเพิ่มขึ้น วัดได้จากการเสียชีวิตคาที่เพิ่มจาก 50 เปอร์เซ็นต์ เป็น 60 เปอร์เซ็นต์ สาเหตุหลักมาจากความเร็ว 56.8 เปอร์เซ็นต์ และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น ส่วนการดื่มแอลกอฮอล์แล้วขับนั้นพบว่าคนที่บาดเจ็บ 1 ใน 4 พบแอลกอฮอล์อยู่ในกระแสเลือด แต่ภาพรวม 7 วันอันตราย การดื่มแล้วขับ ที่ทำให้เสียชีวิต ลดลงจาก 21.5 เปอร์เซ็นต์ เหลือ 16.5 เปอร์เซ็นต์ ของผู้เสียชีวิต ส่วนยานพาหนะที่เกิดเหตุรถจักรยานยนต์ยังคงเป็นกลุ่มหลัก รองลงมาคือ รถกระบะ ถ้าเปรียบเทียบความรุนแรงต่อจำนวนครั้งการเกิดเหตุ พบว่ารถกระบะรุนแรงถึงขั้นเสียชีวิตมากว่าจักรยานยนต์ถึง 2.18 เท่า ทั้งนี้เพราะมีปัจจัยเรื่องของความเร็วและการใช้อุปกรณ์นิรภัยร่วมด้วย โจทย์สำคัญที่ต้องหามาตรการป้องกัน คือ แนวโน้มปัญหาความรุนแรงอุบัติเหตุที่เพิ่มสูงขึ้นทั้งในเทศกาลและช่วงปกติ จำเป็นต้องมีมาตรการมาจัดการเรื่องนี้อย่างบูรณาการและเป็นระบบทั้งส่วนกลางและพื้นที่ ทั้งในด้านกายภาพและด้านการบังคับใช้กฎหมาย ซึ่งสื่อมวลชนจะมีบทบาทกระตุ้นส่งสัญญาณให้มีการจัดการและปรับสภาพแวดในพื้นที่เพิ่มบทบาทด่านหน้าคือท้องถิ่นชุมชน หน่วยงานองค์กรต่างๆในการจัดการความเสี่ยงสำคัญ ได้แก่ การลดความเร็ว ไม่ขับจี้ เว้นระยะห่าง ดื่มไม่ขับ และเพิ่มการใช้หมวกนิรภัยและเข็มขัดนิรภัย

นายวิษณุ ศรีทะวงศ์ ผู้จัดการแผนงานนโยบายสาธารณะสำนักงานเครือข่ายองค์กรงดเหล้า (สคล.) ที่ทำงานบุญประเพณีปลอดเหล้าปลอดภัย กล่าวว่า หลายพื้นที่มีการปรับตัวโดยจัดงานประเพณีสงกรานต์เน้นการท่องเที่ยวเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ ให้ความสำคัญกับเรื่องมาตรการความปลอดภัยในการควบคุมปัจจัยเสี่ยง โดยภาพรวมความปลอดภัยในเทศกาลสงกรานต์ปีนี้ถือว่าดีขึ้น อาจจะเป็นเพราะประเด็นการควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เริ่มกลายเป็นเรื่องที่หลายหน่วยงานกล้าที่จะออกมาสื่อสารผ่านสื่อต่างๆ ชุมชนหลายพื้นที่เข้มแข็งลุกขึ้นมาออกแบบและจัดการพื้นที่ของตนเอง อย่างไรก็ตามการดื่มแอลกอฮอล์ยังเป็นปัญหาที่นำไปสู่ความรุนแรง การทะเลาะวิวาทในหลายพื้นที่ อาทิ ที่มุกดาหาร นครราชสีมาและอีกหลายพื้นที่ รวมทั้งธุรกิจน้ำเมายังคงมีอิทธิพลและแทรกแซงนโยบายในหลายพื้นที่ แฝงตัวสนับสนุนหลักกับหน่วยราชการต่างๆ
.jpg)
.jpg)
นายวิษณุ กล่าวว่า ปัญหาของสงกรานต์ปีนี้คือหลายพื้นที่ขาดการทำงานเชิงรุกในจุดเสี่ยง โดยเฉพาะพื้นที่เล่นน้ำหรือพักผ่อนของคนจำนวนมาก ขาดหน่วยงานหรือกลไกในการเฝ้าระวังอย่างจริงจัง ขาดการสร้างกระบวนการมีส่วนร่วมกับชุมชน ร้านค้าในพื้นที่ และยังพบว่าธุรกิจแอลกอฮอล์ยังคงเข้ามาส่งเสริมการตลาดโดยจัดให้มีลานเบียร์ในจุดที่ไม่มีการควบคุมดูแล ระยะยาวต้องเปลี่ยนความคิดทำให้วัยรุ่นเห็นคุณค่าความหมายคุณค่าที่แท้จริงของงานสงกรานต์ เพราะพฤติกรรมของเยาวชนมีแนวโน้มจะออกมาใช้ชีวิตเล่นน้ำสงกรานต์ช่วงค่ำ-กลางคืนมากขึ้น ซึ่งสอดคล้องกับผลสำรวจผลประชาชนในพื้นที่ต่างๆ ทั่วประเทศ โดยสำนักงานเครือข่ายองค์กรงดเหล้า (สคล.) ร่วมกับ สสส. พบว่า ประชาชนร้อยละ 84.0 รู้สึกกังวลกับการแพร่ระบาดของโรคโควิด 19 มากที่สุด รองลงมาคือ กังวลเรื่องอุบัติเหตุจากการเดินทางร้อยละ 82.7และกังวลเรื่องการทะเลาะวิวาท ร้อยละ 76.6 กังวลเรื่องคนเมาร้อยละ 68.6 และมีถึงร้อยละ 97 เห็นว่าการจัดงานสงกรานต์แบบปลอดเหล้าทำให้รู้สึกปลอดภัย

นางชุติมา บูรณรัชดา รองบรรณาธิการบริหาร หนังสือพิมพ์เดลินิวส์ อดีตนายกสมาคมนักข่าวแห่งประเทศไทย กล่าวว่า ปัญหาการเสียชีวิตจำนวนมากจากอุบัติเหตุไม่ใช่เฉพาะช่วงสงกรานต์ แต่เกิดทุกวันตลอดทั้งปีตายไม่ต่ำกว่า 20,000 คน ดังนั้นควรให้ความสำคัญกันตลอดทั้งปี นอกจากปัจจัยเรื่องเมาและความเร็วแล้ว ปัญหาการก่อสร้างถนนหนทางทั่วประเทศก่อสร้างตลอดทั้งปีก็มีส่วนให้เกิดอุบัติเหตุด้วย ทางแก้ที่ยั่งยืนคือการสร้างจิตสำนึกรับผิดชอบต่อผู้อื่นและต่อสังคม มีการบังคับใช้กฎหมายจริงจังจะต้องทำต่อเนื่องไม่ทำกันแบบไฟไหม้ฟาง เช่นเดียวกันกับการทะเลาะวิวาทกันไม่ได้เกิดเฉพาะช่วงสงกรานต์ แต่เกิดขึ้นได้ทุกงานทั้งงานบวช งานบุญ สาเหตุไม่ใช่มาจากแอลกอฮอล์อย่างเดียว อาจเป็นเพราะนิสัยคนไทยหมั่นไส้กันง่ายพอเหล้าเข้าปากก็ขาดสติ บทบาทสื่อมวลชนจึงทำหน้าที่ในการสะท้อนมุมมอง สะท้อนเหตุการณ์ กระตุ้นเตือนสังคมอย่ามองว่าเป็นเรื่องชาชิน ปัญหานี้อยู่ที่คนรับผิดชอบในระดับโครงสร้าง ระดับนโยบายจะต้องเห็นความสำคัญและเอาจริงเอาจัง


ขณะที่สื่อมวลชนทั้งส่วนกลางและภูมิภาคที่เข้าร่วมประชุม ได้แสดงความเห็นที่น่าสนใจ เช่น นายวิเชษฐ์ พิชัยรัตน์ สื่อมวลชนอาวุโส กล่าวว่า ข้อมูลของกระทรวงสาธารณสุขมีการสรุปสถิติการบาดเจ็บและเสียชีวิตในช่วงเทศกาลสงกรานต์ย้อนหลังแล้วพบว่าคนไทยเสียชีวิตไม่ต่างจากสงครามในยูเครน คือนับตั้งแต่ปี 2551 จนถึงล่าสุดสงกรานต์ปี 2565 รวม 15 ปี คนไทยตายไป 6,183 คน บาดเจ็บ 391,691 คน ต้องเข้าแอดมิดในโรงพยาบาล 73,548 คน ถ้าหากรวมเทศกาลปีใหม่ เทศกาลเข้าพรรษาและทุกๆวันคงมีจำนวนมหาศาล

นายศักดา แซ่เอียว หรือ เซีย การ์ตูนนิสต์ ไทยรัฐ เสนอว่าต้องลดพื้นที่เล่นสนุกสงกรานต์ลงแล้วเพิ่มพื้นที่สร้างสรรค์ให้ชุมชนจัดกิจกรรมงานบุญมากขึ้น ชุมชนไหนทำดีไม่ตีกัน ไม่มีแอลกอฮอล์ก็ให้รางวัลระดับชาติไปเลย นอกจากนี้ สสส.และภาคีควรทำงานกับผู้นำท้องถิ่นที่เพิ่งได้รับการเลือกตั้งเข้ามามากขึ้น
นายประเสริฐ เอี่ยมสนิทอมร บรรณาธิการบริหารหนังสือพิมพ์ข่าวอีสานไทยแลนด์ จาก จ.ขอนแก่น กล่าวว่า ควรแก้กฎหมายเพิ่มบทลงโทษคดีเมาแล้วขับชนคนตายให้หนักกว่าเดิม และอยากให้กวดขันการดื่มแอลกอฮอล์นอกพื้นที่ การเล่นน้ำสงกรานต์ทั้งก่อนและหลังการจัดงาน ด้าน น.ส.กาญจนา นิตย์เมธา ผู้ช่วยบรรณาธิการข่าวสปริงค์นิวส์ กล่าวว่า การรณรงค์และแก้ปัญหาจะต้องทำอย่างต่อเนื่อง จริงจัง และ ยั่งยืน ที่ผ่านมาพอเกิดเหตุทุกคนตื่นตัวสนใจ แต่หลังจากนั้นก็กลับไปเหมือนเดิม