ผ่านพ้นไปแล้วสำหรับเทศกาลแห่งความสุข พี่น้องคนไทยต่างพากันฉลองมหาสงกรานต์ปีใหม่ไทย ก่อนกลับคืนสู่ภาวะปกติ เผชิญโลกแห่งความวุ่นวายต่อไป และก็เหมือนวิถีปกติไปแล้วสำหรับสังคมไทยที่จะต้อง “นับศพ”

กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย รายงานจำนวนผู้บาดเจ็บล้มตายจากอุบัติเหตุในการเดินทางช่วงเทศกาล สถิติอุบัติเหตุทางถนน จากสถิติสะสมระหว่างวันที่ 11 เม.ย.ถึงวันที่ 15 เม.ย.เกิดอุบัติเหตุ 1,478 ครั้ง มีผู้เสียชีวิต 204 ราย เฉลี่ยวันละ 50 รายทั่วประเทศ ได้รับบาดเจ็บ 1,452 ราย ตัวเลขมากพอๆ กับภาวะสงครามในบางประเทศเลยทีเดียว

แถมช่วง 2-3 ปีหลัง ประชาชนคนไทยยังต้องลุ้นกับจำนวนคนติดเชื้อโรคระบาดโควิด-19 ที่เพิ่มขึ้นตามการเคลื่อนไหวย้ายพื้นที่ข้ามจังหวัดในช่วงเทศกาล เป็น “วิถีปกติใหม่” หรือนิวนอร์มอล ที่แทรกเข้ามา ตามการยืนยันอย่างเป็นทางการของทีมหมอกระทรวงสาธารณสุขที่คาดการณ์หลังเทศกาลจะพบผู้ติดเชื้อมากขึ้นประมาณ 5 หมื่นถึง 1 แสนรายต่อวัน รวมการตรวจทั้ง ATK และ RT-PCR

โดยตัวเลขน่าจะเพิ่มความยากลำบากให้กับฝ่ายบริหารที่นำโดย “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรรีและ รมว.กลาโหม ในการรับมือกับโควิด-19 ที่กลับมาระอุ สวนทางกับ “ไฟต์บังคับ” ต้องเปิดเมืองเพื่อปรับสมดุลทางด้านเศรษฐกิจที่บักโกรกสาหัสเต็มที

ในขณะที่ผู้คนในสังคมส่วนใหญ่หมดอาลัย ตายอยาก เลิกหวังกับเชิงบริหารของผู้นำทหารอาชีพ อยากให้รีบเลือกตั้ง ได้รัฐบาลใหม่ของมือบริหารเศรษฐกิจอาชีพมากู้มหาวิกฤติโควิด ฉุดประเทศไทยขึ้นจาก “ก้นเหว”  สวนทางกับอาการดันทุรังของ “บิ๊กตู่” และทีมแห่ พยายาม “ลากเกมอำนาจ” ทุกวิถีทาง ท่ามกลางแรงเสียดทานทั้งภายในและภายนอก โดยเฉพาะ “คนกันเอง” ที่จ้องเสียบแทนอำนาจ แบบที่นายวันชัย สอนศิริ “ส.ว.ลากตั้ง” วิเคราะห์ว่า หากมีการยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจรอบนี้ รัฐบาลไม่ได้กลัวข้อมูลอภิปรายฝ่ายค้าน แต่วิตกกังวลเสียงสนับสนุนในสภาฯมากกว่า

เพราะสถานการณ์ตอนนี้ “นักการเมือง” พยายามชิงความได้เปรียบกัน อาจใช้จังหวะอภิปรายนายกรัฐมนตรี สร้างสถานการณ์ “วีรบุรุษเรียกคะแนนเสียง” ทั้งพรรคร่วมรัฐบาลประกาศถอนตัว หรือรวมหัวโหวตไม่ไว้วางใจผู้นำ

ถึงขนาดที่ตัวพล.อ.ประยุทธ์เองก็เริ่มหวั่นไหว ดูได้จากที่ตอบคำถามนักข่าวว่าด้วยปรากฏการณ์ที่ “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ขึ้นป้ายทั่วบ้านทั่วเมือง อวยพรประชาชนห้วงเทศกาลสงกรานต์ อารมณ์เหมือน “นักการเมืองอาชีพหาเสียง” ต้องการเป็นนายกรัฐมนตรีเองว่า “ท่านยืนยันร้อยครั้งแล้วว่าท่านไม่เป็น” หรือคำตอบที่ว่า “ไม่เคยสงสัยในเรื่องนี้ ไม่มีอะไรที่ทำให้ผมแตกคอกันได้ทั้งสิ้น” เป็นเชิง

ดักคอ พล.อ.ประวิตรว่าจะสนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์เป็นนายกรัฐมนตรีตลอดไป

                แต่หากพิจารณษถึงเหตุการณ์ที่ผ่านาดูเหมือนว่า พฤติการณ์กับคำพูด มันย้อนแย้งกันชัดเจนมากขึ้นทุกที ไล่มาตั้งแต่การปล่อย “กบฏผู้กอง” เปิดเกมคว่ำกระดาน “บิ๊กตู่” ต้องกู้เกม วิ่งแจกกล้วยกันกลางสภา แต่ “พี่ใหญ่” ก็ยังปล่อยให้ “กบฏผู้กอง” อยู่เป็นหอกข้างแคร่ในค่าย พปชร.มา ก่อนจะเล่นปาหี่ ขับ “ก๊วนกบฏผู้กอง” ออกจากพรรคพลังประชารัฐ ไปรวมตัวกันที่ พรรคเศรษฐกิจไทย โดยไม่ขาดสมาชิกภาพ ส.ส.

ตอกย้ำด้วยเรื่องการแต่งตั้ง “2 นายพล” สายตรงบ้านป่ารอยต่อฯเข้ามาเป็นคณะกรรมการบริหารพรรค พปชร. ทดแทนตำแหน่งว่าง ปิดทางพล.อ.ประยุทธ์ ที่จะเข้ายึดฐานบัญชาการค่ายพลังประชารัฐ จนทำให้ “พีระพันธุ์ สาลีรัฐ”วิภาค ที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี ต้องไขก๊อกจากพรรคพลังประชารัฐ ไปสแตนด์บายสร้างพรรคใหม่ “รวมไทยสร้างชาติ” เป็นทางออกฉุกเฉินให้ “บิ๊กตู่” มีทางเดินไปต่อ หากหมดประโยชน์จากพรรคเดิม หรือถูกหักหลังในศึกอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล หลุดเก้าอี้ผู้นำ

ทั้งหมด สะท้อนความความไม่วางใจกันซึ่งกันและกัน ที่ล่าสุดต้องจับตาคิว “นักร้องอาชีพ” ศรีสุวรรณ จรรยา เลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย ร้องเรียนไปยังอธิบดีกรมทางหลวง ตรวจสอบกรณี “ป้ายพี่ใหญ่” ติดบนถนนสายหลักหลายแห่งผิดกฎหมายเพราะไม่ได้ขออนุญาต แถมจ่อร้องกระทรวงมหาดไทยเก็บภาษีป้าย  

ขณะเดียวกัน “โคตรเซียนการตลาด” อย่าง “ดร.ทักษิณ ชินวัตร” ในคราบ “โทนี่ วู้ดซั่ม” ออกมา“ตอกลิ่ม” ขยายรอยร้าวให้ลึกไปกันใหญ่ ตามเหลี่ยมแบบที่อดีตนายกฯทักษิณ ชินวัตร ได้ที “เสี้ยม” เขาควายให้ชนกัน ฟันธง “บิ๊กตู่” กับ “บิ๊กป้อม” กินเกาเหลากันคนละร้าน

ดูได้จากปรากฏการณ์ “ป้ายหาเสียงสงกรานต์” ของ พล.อ.ประวิตร กับปมคลิปหวยฉาวของ “แรมโบ้” นายเสกสกล อัตถาวงศ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำนายกฯ ที่งานนี้เถียงไม่ออก เพราะตามสภาพการณ์บ่งบอกว่ามีอาการขบเหลี่ยมกันภายในทีมบ้านป่ารอยต่อฯกับทีม เสธ.ตึกไทยฯที่ “เจาะยาง” กันเอง ฝ่ายหนึ่งกดปุ่มไล่บี้หวยออนไลน์ทุบบ่อน้ำมันคนโตเมืองพะเยา เลยโดนเอาคืนด้วยคลิปเสียงฉาว พฤติการณ์เน่า เรื่องโควตาลอตเตอรี่ 15 ล้าน โยงทุนเลือกตั้ง เรื่องแบบนี้ว่ากันจริงๆแล้ว มีแต่คนในฝ่ายเดียวกันเท่านั้นที่ลอบ “วางยา” เข้าถึงเรื่องลับๆ ล่อๆ ได้  ล้วนเป็นผลจาก ลิ่วล้อ “พี่ใหญ่” กับลูกหาบ “น้องเล็ก” ล่อกันเอง

ทั้งหมดทั้งมวลนี้ ต่อให้ยืนยันกี่ร้อยครั้งว่า “พี่น้อง 3 ป.” ยังรักกันปานจะกลืน จนกว่าจะตายจากกัน มันก็ไม่มีทางที่ผู้คนจะเชื่ออย่างสนิทใจ

เป็นจังหวะเดียวกับที่ “ค่ายสีฟ้า” พรรคประชาธิปัตย์ ยามนี้กลับกำลังเผชิญ “วิกฤติหนัก” จากคดีฉาวที่เกิดขึ้นกับ “ปริญญ์ พานิชภักดิ์” อดีตรองหัวหน้าพรรค อดีตหัวหน้าทีมเศรษฐกิจทันสมัย ซ้ำยังอดีตผู้อำนวยการศูนย์เลือกตั้งผู้ว่ากทม.และส.ก.ของพรรค

แม้ก่อนหน้าเจ้าตัวจะประกาศลาออกจากทุกตำแหน่งภายในพรรค หรือบรรดา “บิ๊กเนม” รวมถึงสมาชิกพรรคจะย้ำนักย้ำหนาว่าไม่เกี่ยวข้องกับพรรค  แต่เอาเข้าจริงประเด็นร้อนที่เกิดขึ้นหนีไม่พ้นที่จะลามเป็น "อาฟเตอร์เอฟเฟกต์" ที่พุ่งตรงไปยังค่ายสีฟ้าอย่างหลึกเลี่ยงไม่ได้

หรือในพรรคพลังประชารัฐเองวันนี้ก็ยังไม่นิ่ง เมื่อ “วิเชียร ชวลิต” ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ที่เพิ่งได้รับตำแหน่งกรรมการบริหาร (กก.บห.) พรรคพลังประชารัฐ เมื่อวันที่ 3 เมษายน 2565 ที่ผ่านมาได้ยื่นหนังสือขอลาออกจากการเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร  โดยจะไปร่วมงานกับ “พรรคสร้างอนาคตไทย” เนื่องจากมีความสัมพันธ์ที่ดีกับแกนนำพรรคสร้างอนาคตไทยหลายคน อาทิ นายอุตตม สาวนายน และนายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ มาตั้งแต่สมัยร่วมงานกันที่พรรคพลังประชารัฐ ในยุคก่อตั้ง

ล่าสุดพรรคสร้างอนาคตไทย ได้จัดประชุมใหญ่สามัญประจำปี ครั้งที่ 1/2565 มีมติเลือกคณะกรรมการบริหารพรรคชุดใหม่จำนวน 16 คน ประกอบด้วย นายอุตตม สาวนายน เป็นหัวหน้าพรรค, นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ เป็นเลขาธิการพรรค, นายสันติ กีระนันท์ เป็นเหรัญญิกพรรคตามคาด ที่สำคัญจะชู “ดร.สมคิด จาตุศรีพิทักษ์”เป็นแคนดิเดทนายกฯอันดับ1และนายอุตตม สาวนายน เป็นแคนดิเดทอันดับ 2 ในการเลือกตั้งครั้งหน้า

ภาพรวมทางการเมืองกำลังปั่นป่วนหนัก นักการเมืองทยอยถูกชนักปมจริยธรรม ส่อแววภาพลักษณ์เละเทะกัน ถ้วนหน้า ในห้วงร้อนแล้ง ฤดูม็อบการเมืองมาถึงพอดีกับใกล้เข้าสู่ช่วงดาวมฤตยู–ราหู ทับดวงเมืองเดือน ก.ค.

สถานการณ์ที่พลิกไปพลิกมา ไม่รู้จะเกิดปรากฏการณ์พิเศษอะไรหลังสงกรานต์นี้หรือไม่…!?!