ครูซ โฉมใหม่เครื่องยนต์ 1.8 ลิตร ของค่าย เชฟโรเลต รุ่นนี้สามารถรองรับเชื้อเพลิง E85 ได้ ทำให้ครูซ กลายเป็นรถ Flex-Fuel ที่รองรับเชื้อเพลิงได้หลากหลายรูปแบบ "สยามธุรกิจ" ได้ร่วมทริปทดสอบ คอมแพ็กต์ซีดาน เชฟโรเลต ครูซ เครื่องยนต์เบนซิน 1800 ซีซี รองรับแก๊สโซฮอล์ E85 เส้นทางกรุงเทพฯ-เขื่อนกระเสียว จังหวัดสุพรรณบุรี ระยะทางไป-กลับ ประมาณ 400 กิโลเมตร ก่อนออกเดินทางเรามาดูกันว่า ครูซ รุ่นปรับโฉมนี้เปลี่ยนอะไรจากเดิมบ้าง
รูปลักษณ์ที่สะดุดตา ครูซ รุ่นปรับโฉม มาพร้อมกันชนด้านหน้าดีไซน์ใหม่คู่กับไฟตัดหมอกรูปทรงโฉบเฉี่ยว ปรับการออกแบบทั้งกรอบไฟหน้ามุมโครเมี่ยมและกระจังหน้าใหม่ ที่ทำให้โลโก้เชฟวี่ โบไท ดูสะดุดตายิ่งขึ้น ขณะที่กันชนหลังของครูซ เน้นเส้นสายแบบสปอร์ต เติมเต็มแรงดึงดูดทุกสายตาด้วยล้ออัลลอยแบบ ห้าก้านลวดลายใหม่
ภายในห้องโดยสารของครูซ LTZ รุ่นปรับโฉม ตกแต่งด้วยสีน้ำตาลแดง (brown stone) แบบใหม่ พร้อมการแต่งเติมรายละเอียดและพื้นผิวสัมผัสบริเวณ คอนโซลกลางให้ความรู้สึกหรูหรายิ่งขึ้น สำหรับปุ่มสตาร์ตและดับเครื่องยนต์ปรับเปลี่ยนให้เป็นทรงกลมเพื่อรองรับการใช้งานได้สะดวกสบายกว่าเดิม
เครื่องยนต์ 1.8 ลิตร รองรับ E85 การเปลี่ยนแปลงที่มีความสำคัญที่สุดของครูซ โฉมใหม่ คือเครื่อง-ยนต์ 1.8 ลิตร รองรับเชื้อเพลิง E85 ทำให้ครูซ เป็นรถ Flex-Fuel Vehicle-FFV หรือรถที่รองรับเชื้อเพลิงได้หลากหลาย โดยสามารถเติมได้ทั้งน้ำมันเบนซินทั่วไปจนถึงน้ำมัน E85 ที่มีส่วนผสมของเอธานอล 85 เปอร์เซ็นต์ เครื่องยนต์ ECOTEC บล็อก 4 สูบ เพลาราวลิ้นคู่เหนือฝาสูบ (DOHC) ของครูซ ใช้ระบบหัวฉีดมัลติพอยต์ (Multi-point Injection) และระบบวาล์วแปรผันคู่ต่อเนื่อง (Double Continuous Variable Cam Phasing) ทำงานร่วมกับท่อร่วมไอดีแปรผัน (Variable Intake Manifold) ไอดีและไอเสียทำงานอย่างสัมพันธ์กันในทุกรอบเครื่องยนต์ ระบบที่ทันสมัยดังกล่าวในเครื่องยนต์ของครูซ โฉมใหม่ช่วยเพิ่มสมรรถนะ ลดปริมาณไอเสียและลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ให้พละกำลังสูงสุด 141 แรงม้าที่ 6200 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 177 นิวตันเมตรที่ 3800 รอบ/นาที
หัวใจแห่งสมรรถนะของครูซ E85 คือการปรับซอฟต์แวร์และกล่องควบคุมอีซียูใหม่ เพื่อให้ครูซ สามารถใช้เชื้อเพลิงได้ตั้งแต่ E0 (น้ำมันเบนซิน) ไปจนถึง E85 (เบนซินผสมเอธานอล 85 เปอร์เซ็นต์) โดยทำงาน ร่วมกับเซ็นเซอร์หลายตัว หัวฉีดที่มีขนาดใหญ่ขึ้น และระบบการลำเลียงเชื้อเพลิงที่มีความไหลลื่นสูงกว่าเดิม ขณะที่ระบบคอมพิวเตอร์ของครูซ สามารถตรวจจับปริมาณเอธานอลในเชื้อเพลิงและปรับการไหลเวียนและระยะเวลาจุดระเบิดได้ทันที และมีความทนทานต่อคุณสมบัติที่แตกต่างกันของเอธานอล ด้วยการใช้วัสดุ สเตนเลสที่แข็งแกร่งในชิ้นส่วนของเครื่องยนต์ ที่ตัววาล์วและบ่าวาล์วได้รับการปรับปรุงใหม่ เช่นเดียวกับวัสดุยางและสายเชื้อเพลิงก็รองรับเอธานอลได้อย่างเต็มที่
ระบบส่งกำลังเกียร์อัตโนมัติ 6 สปีด "Gen II" แม่นยำและมีความนุ่มนวลมากกว่าเดิมในการเปลี่ยนเกียร์ ขณะเดียวกันยังตอบสนองด้านอัตราเร่งได้รวดเร็ว ขึ้นอีกด้วย มาพร้อมระบบ Driver Shift Control ผู้ขับขี่สามารถเปลี่ยนเกียร์ได้เองแบบเกียร์ธรรมดา
การเดินทางครั้งนี้ขับเป็นขบวน จุดหมายแรกอยู่ที่ปั๊มบางจาก บนถนนวิภาวดี-รังสิต ซึ่งมีแก๊สโซฮอล์ E85 ไว้บริการ เติม E85 เต็มถัง พร้อมออกเดินทางสู่จังหวัดสุพรรณบุรี ช่วงแรกรถค่อนข้างเยอะต้องเร่งแซงตลอดเวลา อัตราเร่งของเจ้าครูซ E85 ถือว่ารวดเร็ว ทันใจกว่าตัวเก่าอยู่พอสมควร การเร่งแซงทำได้อย่างสบายๆ ไม่ต้องลุ้นให้เหนื่อย ก่อนจะเดินทางต่อไปยังโรงงานผลิตเชื้อเพลิงชีวภาพเอธานอลของมิตรผล ซึ่งตั้งอยู่ที่อำเภอด่านซ้าย โดยมีผู้บริหารของโรงงานให้การ ต้อนรับพร้อมเยี่ยมชมสายการผลิต
เมื่อเยี่ยมชมโรงงานเสร็จก็ออกเดินทางต่อไปยังจุดหมายของการทดสอบครั้งนี้ที่เขื่อนกระเสียว เส้นทางมีโค้ง ซ้าย ขาว ให้ได้ลองช่วงล่างกันนิดหน่อย โดยช่วงล่างไม่ได้มีการปรับเปลี่ยนอะไร ด้านหน้ายังเป็นแมคเฟอร์สันสตรัท คอยล์สปริง โช้กอัพแก๊ส และเหล็กกันโคลง ด้านหลังคานแข็งทอร์ชั่นบีม การเข้าโค้งทำได้พอใช้ อาจมีอาการโคลงเล็กน้อยเมื่อเข้าโค้งด้วยความเร็ว แต่การดูดซับแรงสะเทือนจากพื้นผิวของ ถนน ที่มีทั้งหลุม บ่อ หรือฝาท่อต่างๆ ช่วงล่างของครูซ สามารถดูดซับแรงสะเทือนได้ดี นุ่มสบาย
หลายช่วงของการขับ ใช้ความเร็วค่อนข้างสูง บางช่วงเร่งขึ้นไปถึง 140 กิโลเมตรต่อชั่วโมง มีการเร่งแซงบ่อยครั้ง รวมทั้งเข้ากรุงเทพฯ ประมาณ 16.00 น. สภาพการจราจรหนาแน่น เจ้าครูซ ก็มีความคล่องตัวสูง สามารถขับฝ่าสภาพการจราจรที่คับคั่งไปได้อย่างสบายๆ
ครูซ จัดว่าอัตราเร่งอยู่ในระดับที่น่าพอใจ เร่งได้ลื่นดี ไม่รู้สึกว่าแรงตกหรืออืดแต่อย่างใด อัตราสิ้นเปลือง ตลอดการเดินทาง อยู่ที่ประมาณ 11 กิโลเมตรต่อลิตร นับว่าสมเหตุสมผลกับสภาพการใช้งาน รวมทั้งใช้ E85 ซึ่งจะทำให้สิ้นเปลืองมากกว่า แต่ก็ชดเชยด้วยราคาน้ำมันที่ถูกกว่า ทำให้เมื่อคำนวณออกมาเป็นค่าใช้จ่ายต่อกิโลเมตรแล้ว จะประหยัดกว่าการใช้แก๊สโซฮอล์ E10 หรือ E20 กับราคาเริ่มต้นที่ 752,000-1,248,000 บาท