Toggle navigation
วันพุธ ที่ 9 กรกฎาคม 2568
หน้าแรก
ข่าวสาร
วิเคราะห์-บทความ-ต่างประเทศ
ประกัน
ยานยนต์
การเงิน-ธนาคาร
หุ้น-กองทุนรวม
อสังหาริมทรัพย์
พลังงาน-คมนาคม-โลจิสติกส์
อุตสาหกรรม-เออีซี-เอสเอมอี
ไอที
การศึกษา-กทม
การตลาด-ซีเอสอาร์
เกษตรยุคใหม่-ภูมิภาค
บันเทิง
ขายตรง
ประชาสัมพันธ์
PR NEWS -ข่าวประชาสัมพันธ์
ไลฟ์สไตล์
ท่องเที่ยว
แฟชั่นโซไซตี้-ดูดวง
ช๊อป-ชิม-ชิล
สุขภาพ-ความงาม
วิดีโอ-คลิปข่าว
E-Book
นสพ. สยามธุรกิจ
ติดต่อเรา
สามารถส่งข้อมูล ข่าวสาร ทางอีเมลล์ : siamturakijonlinenews@gmail.com และ สำหรับฝ่ายโฆษณา ทางอีเมลล์ : siamturakijadvertising@gmail.com
หน้าแรก
วิเคราะห์-บทความ-คอลัมน์
ประชาธิปไตยต้องขยัน
ประชาธิปไตยต้องขยัน
วันเสาร์ที่ 07 กันยายน พ.ศ. 2556
Tweet
สะบัดร้อนสะบัดหนาว : ณรงค์ ปานนอก
แม้รัฐบาลยิ่งลักษณ์จะถูกค่อนแขวะวิพากษ์ว่า ยกเรื่องปฏิรูปการเมืองออกมาสกัดม็อบโค่นล้มระบอบทักษิณ หรือดักเกมล้มรัฐบาลของฝ่ายค้านทุกรูปแบบจนกระทั่งทำให้พฤติกรรมในสภาตกต่ำสุดขีดยุคหนึ่งของเมืองไทย เป็นปาหี่ที่ไม่มีความจริงใจต่อการแก้ปัญหาความขัดแย้งทางการเมืองก็ตาม
แต่อย่าลืมภาษิตการเมืองที่ว่า "เมื่อท่านพูด คนจะฟัง เมื่อท่านทำ คนจะเชื่อ"
หลังเกิดปรากฏการณ์ทำให้ม็อบเสื้อแดงประท้วงทางการเมืองจนมีผู้คนเสีย ชีวิตร่วมร้อยศพ แต่รัฐบาลคุณอภิสิทธิ์ในขณะนั้นไม่แสดงความรับผิดชอบใดๆนอกจากโยนความผิดไปให้ผู้ประท้วงฝ่ายเดียวแล้ว ก็พยายามตั้งคณะทำงาน ขึ้นมาเพื่อสะสางเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เหมือนจะลบภาพความขัดแย้งและสร้างความปรองดองให้เกิดขึ้น
แต่แล้วคณะกรรมการชุดนั้นก็ไม่สามารถเสนอให้รัฐบาลอภิสิทธิ์แก้ปัญหาอะไรได้ เพราะประเด็นที่แท้จริง มีคุณอภิสิทธิ์เป็น "หัวใจของปัญหา" เสียเอง
มาวันนี้ เป็นวันที่ผู้หญิง ซึ่งไม่เคยใส่ใจการเมืองมาก่อน แต่บังเอิญถูกการ เมือง "ปั้น" ให้เป็นใหญ่ขึ้นมา ไม่เคยใช้กิริยาวาจาเหน็บแนมหรือกล่าวโทษในลักษณะ "เอาดีใส่ตัว โยนชั่วให้ใคร" ตลอดเวลา 2 ปีที่มีอำนาจสูงสุด ก็ได้แสดงบทนักบริหารที่เหนือกว่านักพูดฝีปากกล้าในยุทธจักรการเมือง
จึงย่อมมีข้อเปรียบเทียบให้เห็นชัดยิ่งขึ้นว่า การพูดจาที่สุภาพ เรียบร้อยประกอบกิริยาที่เป็นผู้หญิงนั้น ได้สร้างความพึงพอใจให้ภาพผู้นำของประเทศนี้ ดูดีขึ้น ต่างจากพวก "ดีแต่พูด" เป็นไหนๆ
เมื่อถึงเวลาที่จะเล่นบทปฏิรูปการเมือง ลดความขัดแย้ง คุณยิ่งลักษณ์ ชินวัตร กลับแสดงบทบาทโดยเชิญ "กูรู" และอดีตผู้นำหลายชาติที่มีประสบการณ์จากทั่วโลกมาร่วม "ผนึกกำลังสู่อนาคต : เรียนรู้ร่วมกันจากประสบการณ์" ได้ดีกว่านักการเมืองที่มีชั้นเชิงสูงจากพรรคเก่าแก่อย่างประชาธิปัตย์เสียอีก
เราจึงเห็นภาพคุณอภิสิทธิ์เข้าไปพบ นายโทนี่ แบลร์ อดีตนายกฯ อังกฤษที่มาเป็นองค์ปาฐกคนหนึ่งในเกมปฏิรูปการเมืองหลังจากรัฐบาลยิ่งลักษณ์ได้จัดงานปาฐกถาเสร็จไปแล้ว เป็นเสมือน "น้ำจิ้ม" ที่ให้ผู้คนเห็นว่า "ตกขบวนรถไฟสายปฏิรูป" อย่างช่วยไม่ได้
ก็ทีรัฐบาลให้เกียรติเชิญฝ่ายค้านอย่างเป็นทางการให้ไปร่วมด้วย ก็ตั้งแง่เงื่อน ปิดกั้นตัวเองเหมือนกับคนต่างเผ่าไม่ยอมรับ แต่พอรัฐบาลเชิญอดีตผู้นำจาก ชาติอื่นมาพูดคุยได้อย่างใหญ่โต และมีสาระควรฟังควรนำมาปรับแก้ มันจึงเห็นกิริยาของผู้นำฝ่ายค้านบ้านเรา "เหมือนเด็กอมมือ" ยังไงยังงั้น
ผมฟังอดีตผู้นำหลายชาติมาแสดงความเห็นในเวทีเรียนรู้ร่วมกันจากประสบการณ์ครั้งนี้ ไม่มีประเด็นอะไรที่นักการเมืองไทยไม่เคยผ่านประสบการณ์ความขัดแย้งที่รุนแรงมาก่อน นอกจาก "ความดื้อรั้น ทิฐิ ถึงขั้นขาดสติ" และขาดจิตสำนึกแห่งความรับผิดชอบ อันเป็นหัวใจสำคัญยิ่งของระบอบประชาธิปไตย
แต่การเมืองบ้านเรา มันใช้ความเป็นประชาธิปไตยจนเกินเลยขีดมาตรฐานมากไปหรือเปล่า?
มากจนเราเห็นภาพรัฐสภา เป็นสภาเถื่อนสภาถ่อย มากจนนักการเมืองบางคนใช้อำนาจจนทำให้เกิดความตายของประชาชน โดยไม่ยอมรับรู้และรับผิดชอบ และเที่ยวใส่ร้ายป้ายความผิดไปให้ฝ่ายตรงข้ามมากเกินไป จนเห็นชัดว่าพฤติกรรม ที่เป็นอยู่ในวันนี้คือ กลบเกลื่อนเพื่อหนีความจริงในอดีตหรือเปล่า
แล้วเราก็ไม่รู้จักเรียนรู้จากประสบการณ์เหล่านั้น เอามาลดทิฐิ และยอม รับความจริงมาปรับแก้ จนผลสำรวจความเห็นของทุกสำนักปรากฏออกมาไม่ต่างกันว่า ประชาชนเบื่อการเมืองทุกครั้ง
เมื่อรัฐบาลเดินหน้าปฏิรูปการเมือง และสร้างภาพด้วยการเชื้อเชิญอดีตผู้นำจากหลายชาติมาแสดงทรรศนะเพื่อหาทางออกจากบทเรียนต่างๆ ทั่วทุกมุมโลกแล้ว รัฐบาลก็ต้องวิเคราะห์และสังเคราะห์ประสบการณ์เหล่านั้นมาปรับแก้ให้เหมาะสมกับพฤติกรรมการเมืองของไทยให้ได้
จำได้ว่า ประธานาธิบดีบารัก โอบามา แห่งสหรัฐฯ เคยกล่าวคราวมาเยือนไทยถึงเรื่องประชาธิปไตยว่า ต้องขยันทำให้เป็นกิจกรรมอย่างต่อเนื่อง ซึ่งหมายถึงว่า อย่าปล่อยให้ความคิดแบบเผด็จการ "ข้าคือความถูกต้อง" มาครอบงำ จึงจะทำให้ประชาธิปไตยเติบโตและยั่งยืนได้
ใครจะมองว่า การปฏิรูปการเมืองของรัฐบาลเป็นปาหี่ หรือละครฉากหนึ่ง ก็เรื่องของเขา แต่รัฐบาลต้องยึดเป็นภารกิจหลักของระบอบประชาธิปไตยซึ่งต้องเดินหน้าให้ดีขึ้นกว่าการเมืองแบบน้ำเน่าให้ได้ ต้องปฏิรูปการเมืองให้คนส่วนใหญ่รับได้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้
ส่วนใครที่ยังขวางลำ หรือมีข้อแม้ตามความคิดของตัวเองเป็นใหญ่ ก็ช่างเขาเถอะ
ใครหรือพรรคไหน แม้จะเคยใหญ่จะเก่าแก่จะเก่งกาจมาก่อน ก็ขอให้เขาเดินไปตามทางเขาก็แล้วกัน...ประเดี๋ยวก็รู้เองแหละว่า "ใครตกขบวน" กลายเป็น "ของเก่า" ที่ควรจะประดับอยู่แต่ในพิพิธภัณฑ์การเมืองไทย ก็ตามใจ!
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
The Associated Press
ภาษีบุหรี่: ความล่าช้า 4 หมื่นล้านบาทที่...
...
ภาษีบุหรี่ ค้างคา "แช่แข็ง" ไม่เดินหน้...
...
อะไรคือ ? โจทย์ใหญ่ กระทรวงการคลัง ที่มา...
...
ttb analytics มองเงินบาทยังมีแนวโน้มแข็ง...
...
มาตรการ MPOWER เสาหลักกฎหมายควบคุมผลิตภั...
...
บริษัท สมาร์ท โกลด์ มีเดีย กรุ๊ป จำกัด SMART GOLD MEDIA GROUP CO.,LTD. ติดต่อสอบถาม โทร : 0893284192 , ID Line : @siamturakij และ ฝ่ายโฆษณา siamturakijadvertising@gmail.com
© 2013 สยามธุรกิจ
×
เว็บไซต์ “สยามธุรกิจ” ใช้คุกกี้เพื่อให้ท่านได้รับประสบการณ์การใช้งานที่ดียิ่งขึ้น อ่านนโยบายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (Privacy Policy) และ นโยบายคุกกี้ (Cookie Policy)
กดยอมรับ