“เดอะมอลล์ กรุ๊ป” ชี้ ทิศทางธุรกิจค้าปลีกเริ่มฟื้นตัวดีขึ้น อัดงบ 300 ล้าน จัดแคมแปญกระตุ้นยอดส่งท้ายปี “The Great Happy New Year 2023” ตั้งเป้าดันรายได้รวมบริษัทปีนี้แตะ 5 หมื่นล้าน

วันจันทร์ที่ 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2565

“เดอะมอลล์ กรุ๊ป” ชี้ ทิศทางธุรกิจค้าปลีกเริ่มฟื้นตัวดีขึ้น อัดงบ 300 ล้าน จัดแคมแปญกระตุ้นยอดส่งท้ายปี “The Great Happy New Year 2023” ตั้งเป้าดันรายได้รวมบริษัทปีนี้แตะ 5 หมื่นล้าน


นางสาววรลักษณ์ ตุลาภรณ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มการตลาด บริษัท เดอะมอลล์ กรุ๊ป จำกัด  กล่าวว่า สำหรับสถานการณ์ธุริจค้าปลีกหลังสถานการณ์โควิดกลับมาคลี่คลายดีขึ้นนั้น สิ่งที่เราพบ คือ ผู้บริโภคคนไทยกลับมาซื้อของกันมากกว่าที่ผ่านมา ออกจากบ้านถี่ขึ้นและ ใช้เวลาในห้างฯ มากขึ้น ประมาณ 7% จากเดิมที่ไม่ถึง 1 ชั่วโมง เป็น 1.15 ชั่วโมง โดยส่วนที่ทำให้ผู้บริโภคใช้เวลานานขึ้นคือ ร้านอาหาร เพราะคนไม่ได้กลัวโควิดแล้ว เขาต้องการใช้เวลาไม่ได้มาซื้อกลับบ้าน หรือรีบกินรีบกลับเหมือนเมื่อก่อน โดยถ้าให้เทียบจำนวนลูกค้าของทางเดอะมอลล์ในปีนี้กับก่อนการระบาดของโควิดในปี 2019 เราเติบโตแล้วกว่า 20%โดยปัจจุบัน ลูกค้าหลัก ๆ จะเป็นกลุ่มที่อาศัยอยู่ในกรุงเทพฯ (Local) ตามด้วยลูกค้าต่างจังหวัดที่แวะมาเที่ยวในเมือง (Walk in) ส่วนนักท่องเที่ยวต่างชาติต่างก็เริ่มกลับมามีสัดส่วน 30% จากปกติอยู่ที่ 40% เนื่องจากขาดนักท่องเที่ยวตลาดหลักอย่างจีนที่ถือเป็นกลุ่มที่มีกำลังซื้อหลักในการมาช้อปปิ้งแบบมากๆ อันเนื่องจากทางจีนยังไม่เปิดประเทศแต่เราก็หวังว่าปีหน้าข้อจำกัดต่าง ๆ ของประเทศจีนจะดีขึ้น แต่การท่องเที่ยวของไทยตอนนี้ยังได้มาจากนักท่องเที่ยวจากอาเซียนกลุ่มประเทศอื่น อาทิ มาเลเซีย สิงคโปร์ ฟิลิปปินส์ นอกจากนี้ก็มี อินเดีย และแถบตะวันออกกลาง

ทั้งนี้ ในส่วนของยอดใช้จ่ายก็เพิ่มขึ้นประมาณ 10% เมื่อเทียบกับตั้งแต่ช่วงเดือนพฤษภาคมปี 2021 โดยกลุ่มสินค้าที่ขายดีจะเป็นกลุ่มแฟชั่น บิวตี้ ร้านอาหาร และกระเป๋าเดินทางก็เติบโตดีมาก เพราะท่องเที่ยวเริ่มกลับมา“พอคนออกจากบ้านได้เขาก็เริ่มแต่งตัว แต่งหน้า ส่วนร้านอาหารโดยเฉพาะร้านบุฟเฟต์เติบโตมาก ส่วนการสั่งกลับบ้าน หรือใช้ฟู้ดเดลิเวอรี่ก็ลดลง

ผู้บริหารคนสวย กล่าวต่อว่า ลูกค้าของเดอะมอลล์ในปัจจุบัน Gen Y (48%) และ Gen X (35%) เป็นสองกลุ่มที่ใหญ่ที่สุด ตามมาด้วย Baby Boomer (9%), Gen Z (6%) และ Alpha (2%) ดังนั้น เดอะมอลล์จะให้ความสำคัญกับ Gen X และ Y เป็นหลัก ไม่ว่าจะเป็นกิจกรรมการตลาด และกลยุทธ์ด้าน CRM อย่างไรก็ตาม ก็ต้องไม่ทิ้ง Gen Z ที่สัดส่วนจะเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ หรือ Baby Boomer แม้สัดส่วนจะไม่มากแต่มีลอยัลตี้สูงมาก ดังนั้น ปัจจัยแห่งความเร็จของการทำการตลาด  คือต้องมีความเข้าใจในลูกค้า รู้จักตัวตนของลูกค้าเป็นอย่างดี   ซึ่งในปัจจุบันผู้บริโภคมีการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมภายหลังสถานการณ์โควิด-19  ไปเป็นอย่างมาก  โดย เดอะมอลล์ กรุ๊ป ได้จำแนกพฤติกรรมของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไปออกเป็น 5 กลุ่ม คือ

Physical Experience is back การสัมผัสด้วยประสบการณ์จริงๆ จะกลับมา หลังจากสถานการณ์โควิด-19 คลี่คลาย ลูกค้าเริ่มกลับมาใช้ชีวิตตามปกติ ไปทำงาน-เรียน-กินข้าว-ออกกำลังกาย การอยู่บ้านนาน ทำให้เกิดอาการโหยหาอยากสัมผัสประสบการณ์จริงในสถานที่จริง (Check-in and Experience)

Customers Tend to be less Loyal than before ความภักดีของลูกค้ามีน้อยลง ลูกค้ายุคใหม่ไม่ใส่ใจในการจดจำแบรนด์เท่าแต่ก่อน มีความภักดีต่อแบรนด์น้อยลง และพร้อมเปลี่ยนไปใช้แบรนด์อื่นๆ ได้ง่ายขึ้น

Search & compare are rising การค้นหายังคงเป็นเรื่องที่นิยมทําอย่างต่อเนื่อง โดยลูกค้าในปัจจุบันนิยมค้นหาข้อมูลต่างๆ ประกอบการตัดสินใจ เปรียบเทียบราคาก่อนตัดสินใจ

Research Offline then Buy Online สัมผัสสินค้าที่ร้าน แล้วกลับไปซื้อผ่านเน็ต มีลูกค้าบางส่วน เลือกไปลองสินค้าจริงๆ ก่อนเพื่อความมั่นใจ จากนั้นค่อยกลับมาหาข้อมูลเปรียบเทียบราคา แล้วตัดสินใจสั่งซื้อกับร้านที่ให้ราคาดีที่สุดผ่านทางออนไลน์แทน

New payment options and growth of Cashless การชำระเงินรูปแบบใหม่ และ การเติบโตที่รวดเร็วของสังคมไร้เงินสด ลูกค้าเริ่มมีการใช้จ่ายผ่าน Digital Payment ทั้งบัตรเครดิต ระบบ E-Wallet หรือแอพเป๋าตังค์ต่างๆ มากขึ้นกว่าในอดีต ทั้งการช้อปผ่านทาง Online และ Offline

อย่างไรก็ตาม สำหรับในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี ถือเป็นช่วงที่สำคัญของธุรกิจรีเทล เพราะเป็นเวลาแห่งความสุขและการเฉลิมฉลอง เป็นช่วงที่มีการจับจ่ายใช้สอยสูงที่สุดของปี สำหรับปีนี้มีปัจจัยบวกหลายด้าน ทั้งเรื่องสถานการณ์ COVID-19 ที่คลี่คลายลงทำให้มู้ดในการจับจ่ายใช้สอยโดยรวมของประเทศที่ดีขึ้น, จำนวนนักท่องเที่ยวที่เพิ่มจำนวนขึ้นอย่างต่อเนื่อง รวมถึงการที่ประเทศไทยเป็นเจ้าภาพจัดการประชุม APEC 2022 โดยคาดว่าจะมีนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้ามาในเดือนพฤศจิกายน ถึง 1.5 ล้านคน และมีแนวโน้มที่จำนวนนักท่องเที่ยวจะถึง 10 ล้านคน เมื่อปิดปี 2565 ตามที่การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยได้ตั้งเป้าไว้ จึงเป็นแรงหนุนให้ธุรกิจในประเทศฟื้นตัวได้มากขึ้น โดยภาพรวมของธุรกิจ รีเทลช่วงปลายปี 2565 มีแนวโน้มไปในทิศทางที่ดี กำลังซื้อของลูกค้าเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทั้งลูกค้าชาวไทยและนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ  

ล่าสุด ไตรมาสสุดท้ายในปีนี้บริษัทได้ทุ่มงบกว่า 300 ล้านบาท จัดแคมเปญส่งท้ายปี “เดอะ เกรท แฮปปี้ นิวเยียร์ 2023” (The Great Happy New Year 2023) ในการกระตุ้นกำลังซื้อ อภิมหาเซลล์ครั้งยิ่งใหญ่ส่งท้ายปี แจกใหญ่จัดหนักแบบเอ็กซ์ตร้าพลัส  เพื่อมอบความสุขให้คนไทย พร้อมต้อนรับนักช้อปชาวต่างชาติ ยกทัพสินค้าทุกชั้น ทุกแผนก ลดสูงสุด 80 %  พร้อมเนรมิตรบรรยากาศแห่งความสุข ภายใต้คอนเซ็ปต์ “UPSIZE HAPPINESS++” ระหว่างวันที่ 28 พ.ย. 2565 –12 ม.ค.2566 ที่ ห้างสรรพสินค้า และศูนย์การค้า  เดอะมอลล์, เดอะมอลล์ไลฟ์สโตร์, เอ็มโพเรียม, เอ็มควอเทียร์, พารากอน ดีพาร์ทเม้นท์สโตร์  ห้างสรรพสินค้าที่ดีที่สุดในเอเชียอาคเนย์ เพื่อตอกย้ำความเป็น Shopping Destination ศูนย์กลางการช้อปปิ้ง และความบันเทิง ของนักช้อปจากทั่วโลก พร้อมผนึกช่องทางการช้อปออนไลน์ Monline.com และGourmetmarketthailand.com เอาใจนักช้อปทุกช่องทาง

สำหรับปีนี้ เดอะมอลล์ใช้งบการตลาดเพิ่มขึ้น 20% ถ้าไม่นับรวมโดยมีการจัดงานอีเวนต์ไปกว่า 400 อีเวนต์ ซึ่งคิดสัดส่วนเป็น กว่า 50% ของงบการตลาด การที่เราเพิ่มงบทำการตลาดเพิ่มขึ้นนั้น เนื่องมาจากในช่วงไต่มาสแรกของปีนี้ที่ผ่านมาค่อนการจับจ่ายใช้สอยของผู้บริโภคยังไม่ค่อยคึกคักเท่าไหร่นัก ส่งผลให้เรามองต้องจัดกิจกรรมต่างๆ เพื่อกระตุ้นให้คนจับจ่ายเพื่อไปให้ยอดรายได้ทั้งบริษัทถึงเป้าหมายยอดขาย 50,000 ล้านบาท ซึ่งเรามั่นใจว่าปลายปีนี้ผู้บริโภคจะออกมาจับจ่ายใช้สอบกันมากขึ้นกว่าปีก่อนๆ แน่นอนเพราะสถานการณ์ทุกอย่างกลับมาปกติแล้ว และจะมีการจัดเทศกาลต่างๆ มากมายในปลายปี และเรามองว่าถ้ายิ่งภาครัฐออกมารตรการเข้ามาช่วยกระตุ้นกำลังซื้ออีกโดยเฉพาะมาตรการ “คนละครึ่ง” ซึ่งในส่วนนี้จะเป็นผลดีกับผู้ประกอบการรายย่อย แต่สำหรับเดอะมอลล์มมาตราการ “ช้อปดีมีคืน” เป็นโครงการที่ช่วยบริษัทได้ดีกว่า หรืออาจมีนโยบายดี ๆอะไรใหม่ๆ หลังจากประชุม APEC ที่ผ่านมาก็ได้จากภาครัฐ ก็ยังเป็นสิ่งที่ทางเรารอดูอยู่

วรลักษณ์ ตุลาภรณ์ กล่าวทิ้งท้ายว่า สำหรับการจัดแคมเปญ  “The Great Happy New Year 2023” ในครั้งนี้ บริษัทคาดว่าจะช่วยกระตุ้นกำลังซื้อลูกค้าในช่วงปลายปี 2565 และช่วยเพิ่ม Traffic ภายในห้างสรรพสินค้า และศูนย์การค้า เดอะมอลล์, เดอะมอลล์ไลฟ์สโตร์, เอ็มโพเรียม, เอ็มควอเทียร์ และ พารากอน ดีพาร์ทเม้นท์สโตร์ กว่า 30 % และมั่นใจว่าจะปิดยอดขายจากแคมเปญปีใหม่รวมกว่า 6,000 ล้านบาท และในส่วนภาพรวมปีหน้าเชื่อว่าภาพรวมของศูนย์การค้าของกลุ่มจะเริ่มกลับมาสู่ภาวะก่อน COVID-19 ระบาด ดังนั้น เชื่อว่าจะเติบโตมากกว่าปีนี้ แต่ยังไม่สามารถประเมินได้ว่าจะเติบโตกี่เปอร์เซ็นต์ เนื่องจากบริษัทมีแผน รีโนเวตเดอะมอลล์บางแคกับบางกะปิ ซึ่งรายได้ในสองสาขานี้อาจหายไป อย่างไรก็ตาม บริษัทตั้งเป้าที่จะให้แล้วเสร็จภายในช่วงคริสต์มาสปี 2023 เพื่อให้ทันช่วงไฮซีซั่น และในปีหน้าบริษัทมีแผนจะจัดอีเวนต์เพิ่มขึ้น 10-15% โดยจะเริ่มตั้งแต่ต้นปีในช่วงตรุษจีน



บริษัท สมาร์ท โกลด์ มีเดีย กรุ๊ป จำกัด SMART GOLD MEDIA GROUP CO.,LTD. ติดต่อสอบถาม ID Line : @siamturakij และ ฝ่ายโฆษณา siamturakijadvertising@gmail.com
© 2013 สยามธุรกิจ