ถ้าให้พูดย้อนเวลากลับไปประมาณในช่วงปี 2563 ที่ผ่านมา เชื่อว่าทุกคนบนโลกคงจำกับเหตุการณ์ช็อก! โลกที่เกิดจากเจ้าไวรัสโควิด-19 ระบาดจนแต่ละประเทศต้องเกิดผลกระทบกันไปทุกภาคส่วนของอุตสาหกรรมและหลากหลายธุรกิจจำนวนมากย่ำแย่เป็นเวลาอันรวดเร็วทั่วทั้งมุมโลก โดยเฉพาะธุรกิจบริการต่าง ๆ อาทิ สายการบิน โรงแรม ค้าปลีก หรือร้านอาหาร เพราะไม่สามารถเปิดให้บริการได้
และแน่นอนหนึ่งในนั้นคือ “อุตสาหกรรมโรงภาพยนตร์” ด้วยเช่นกัน ซึ่งในประเทศไทยบ้านเรามีผู้เล่นหลักรายใหญ่ในธุรกิจดังกล่าวอยู่เพียง 2 ค่ายเท่านั้นที่เราทราบกันดีนั้นก็คือ “เมเจอร์” และ “เอสเอฟ” ที่เมื่อ 3 ปีก่อนทั้ง 2 ค่าย ก็เป็นธุรกิจหนึ่งที่ได้ผลกระทบอย่างหนักสุดๆ จากการโดนให้ปิดธุรกิจแบบกระทันหันตั้งแต่วัน 18 มี.ค.63 จนถึง 31 พ.ค. 63 ที่ผ่านมา อีกทั้ง จำนวนหนังที่จะเข้าฉายในสถานการณ์ตอนนั้นก็แทบจะมีน้อยเสียเหลือเกิน เพราะประเทศหลักผลิตภาพยนต์อย่างฮอลลีวูดอยู่ที่อเมริกาก็ได้ผลกระทบเช่นกัน ซึ่งแน่นอนธุรกิจบริการเฉพาะทางแบบโรงหนังจึงเป็นการยากมากที่จะปรับทิศทางธุรกิจไปยังช่องทางอื่นในการหารายได้เพื่อมาทดแทนในช่วงเวลาดังกล่าวได้ทันท่วงที ดังนั้นในช่วงที่ไม่สามารถเปิดกิจการได้ส่งผลให้ธุรกิจมีรายได้เท่ากับเป็น “ศูนย์”
แต่ทว่าสถานการณ์ดังกล่าวก็ไม่ได้ทำให้ 2 ค่ายใหญ่โรงหนัง ย่อท้อต่ออุปสรรคที่เกิดขึ้นแต่ต่างก็พยายามปรับตัวอย่างหนักในช่วงเวลาดังกล่าวเพื่อให้ธุรกิจดำเนินต่อไปได้ จนจวบจนขณะนี้สถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิดเริ่มคลี่คลายดีขึ้นมากแล้ว เรามาลองฟังกันว่าผู้บริหารทั้ง 2 ค่าย โรงหนัง ต่างมีความคิดเห็นอย่างไรบ้างกับอุตสาหกรรม “โรงหนังหรือโรงภาพยนตร์” ในปีนี้ และทิศทางแผนดำเนินธุรกิจปี 2566 ของแต่ละค่ายจะเป็นอย่างไรบ้าง เริ่มที่
*************************************
“ปีนี้เมเจอร์จะรุกทำตลาดป๊อปคอร์นอย่างจริงจังด้วยการร่วมกับเถ้าแก่น้อยฯ ในการผลิตสินค้า พัฒนารสชาติใหม่ ปรับราคา ลง เพื่อจำหน่ายในร้านสะดวกซื้อ”
วิชา พูลวรลักษณ์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ กรุ้ป จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า คาดการณ์อุตสาหกรรมโรงภาพยนตร์ปี 2566 นี้นั้น จะกลับมาดีขึ้นอย่างแน่นอน ซึ่งน่าจะมีรายได้เทียบเท่าช่วงก่อนสถานการณ์โควิด-19 หรือในช่วงปี 2562 เป็นปีทองของธุรกิจโรงหนัง อันเนื่องมาจากตั้งแต่ช่วงไตรมาสที่สามของปีที่ผ่านมา สถานการณ์ภาพรวมทั้งหมดทั่วโลกและภายในประเทศไทยเองเกือบกลับมาเท่าปกติแล้ว เนื่องจากเศรษฐกิจเปิดมากขึ้น มีการทำกิจกรรมกันปกติ ประชากรได้รับวัคซีนกันทั่วถึง ผู้บริโภคกลับมาใช้จ่าย และการท่องเที่ยวก็เริ่มกลับมาดีขึ้นและปีนี้คาดว่าจะมีนักท่องเที่ยวเดินทางมาเที่ยวไทยมากกว่า 10 ล้านคน ประกอบกับในปี 2566 จะเป็นปีแห่งการ Fight Back อย่างแท้จริง และจากการหารือกับ
สตูดิโอ หรือค่ายผู้สร้างภาพยนตร์ ต่างให้ความมั่นใจถึงหนังฟอร์มใหญ่ที่ทุ่มทุนสร้างมหาศาล จะป้อนคอนเทนท์ให้กับโรงหนังเต็มสูบ โดยจะมีภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์จ่อคิวเข้าเยอะจำนวนมากจัดเต็มตั้งแต่ต้นปี เมื่อค่ายหนังฮอลลีวู้ดซัพพอร์ตหนังดีเข้าโรงหนังก็จะเอื้อต่อการสร้างรายได้จากตั๋วหนังได้เพิ่มมากขึ้น อีกทั้งผู้บริโภคคนไทยยังมีความชื่นชอบการเข้าโรงภาพยนตร์มากกว่าดูสตรีมมิ่งเนื่องจากได้ประสบการณ์ที่แตกต่างกัน
สำหรับแผนธุรกิจของเมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ฯ ปี 2566 เพื่อสร้างความสำเร็จและผลักดันการเติบโตธุรกิจ ด้วยกลยุทธ์ 3 หลัก ดังนี้ 1. ปรับภาพลักษณ์โรงภาพยนตร์หลายสาขา เพิ่มโรงที่มีระบบฉาย “ไอแม็กซ์ เลเซอร์”เป็นระบบการฉายภาพยนตร์ผสมผสานการฉายภาพด้วยเลเซอร์ระดับ 4K ด้วยระบบออปติคัลใหม่ ให้ภาพที่สว่างกว่าด้วยความละเอียดที่เพิ่มขึ้น จัดฉายที่โรงภาพยนตร์ 3 สาขา คือ พารากอน ซีนีเพล็กซ์, ไอคอน ซีเนคอนิค และจะขยายสาขาไอแมกซ์แห่งใหม่อีก 1 แห่ง พร้อมระบบการฉาย IMAX with Laser ที่ เมกา ซีนีเพล็กซ์ และ เปิดโรงภาพยนต์ “ScreenX PLF” ในรูปแบบ Premium Large Format แห่งใหม่ ที่พารากอน ซีนีเพล็กซ์ แห่งที่ 2 หลังจากได้เปิดให้บริการโรงภาพยนตร์ ScreenX สาขาแรกที่โรงภาพยนตร์ ควอเทียร์ ซีเนอาร์ต เมื่อปี 2558 และนำเทคโนโลยี “CAPSULE HOLOGRAM” ผสมผสานโลกแห่งความเป็นจริง และเมตาเวิร์ส ซึ่งเมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ฯ ถือเป็นรายแรกของโลกด้วย
พร้อมกันนี้ปี 2566 จะเป็นครั้งแรกในรอบ 3 ปี ที่บริษัทกลับมาเปิดโรงภาพยนตร์มากสุดจำนวน 13 สาขา 49 โรง ภายใต้งบลงทุนหลัก “พันล้านบาท” โดยเปิดที่ One Bangkok จับมือกับเซ็นทรัล เปิดที่ เซ็นทรัล เวสต์ วิลล์ ราชพฤกษ์ จับมือกับโรบินสัน เปิดที่ โรบินสัน ฉลอง จับมือกับโลตัส เปิดที่ นครนายก, สระแก้ว, นราธิวาส, ปัตตานี จับมือกับบิ๊กซี เปิดที่ บางบอน, สระบุรี, ยะลา เปิดกับไฮเปอร์ มาร์เก็ต 2 สาขา และ เปิดสาขาสแตนด์อโลนที่ภูเก็ต ตลอดจนขยายสาขาโบว์ลิ่งเพิ่มอีก 3 สาขา 40 เลน และคาราโอเกะ 30 ห้อง รวมถึงการลุยตลาดต่างประเทศ เปิดโรงหนังที่กัมพูชาเพิ่ม เป็นต้น จากสิ้นปี 2565 เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ ฯ มีโรงหนังรวม 180 สาขา 839 โรง 188,973 ที่นั่ง
2. เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ ยังมองภาพการเติบโตของอุตสาหกรรมภาพยนตร์ไทย ด้วยการเน้นการพัฒนาและสนับสนุนการสร้างภาพยนตร์ไทย Tollywood เน้นสร้างคอนเทนต์โลคอล ตั้งเป้าอยากให้มีหนังไทยมีมาร์เก็ตแชร์ 50% ตั้งเป้าหมายให้ภาพยนตร์ไทยเข้าฉายให้ได้ปีละ 20 เรื่อง เฉลี่ยประมาณเดือนละ 2 เรื่อง โดยปี 2566 บริษัทตั้งเป้าสร้างหนังไทยเข้าฉายให้ได้ราว 15-20 เรื่อง จากตลาดรวมคาดมีหนังไทยออกสู่ตลาด 45-50 เรื่อง ขณะที่งบลงทุน บริษัทตั้งไว้ 15-50 ล้านบาทต่อเรื่อง ซึ่งยังไม่รวมงบโฆษณา ประชาสัมพันธ์เพื่อให้ประเทศไทยก้าวสู่การเป็น King of Content Hub หวังสร้างภาพยนตร์ไทยป้อนสู่ตลาดโลกพร้อมผลักวัฒนธรรมบันเทิงผ่านภาพยนตร์ให้เกิด Soft Power นำรายได้เข้าสู่ประเทศผ่านเนื้อหาในภาพยนตร์ให้ทัดเทียมกับประเทศเกาหลีใต้ ซึ่งในที่สุดจะนำรายได้กลับสู่ประเทศไทย และทำให้ GDP ของประเทศไทยเติบโตได้อย่างยั่งยืน
3. New Business คือ ธุรกิจป๊อปคอร์น ที่เราเห็นโอกาสการเติบโตอย่างชัดเจน จากตลอดระยะเวลา 3 ปีที่เกิดสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ที่ทำให้ทุกธุรกิจเกิดการชะงัก แต่ในส่วนของการจำหน่ายป๊อปคอร์นกลับมีตัวเลขการเติบโตของรายได้เพิ่มมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะยอดขายป๊อปคอร์น นอกโรงหนังผ่านเดลิเวอรี่ การสร้างจุดจำหน่าย(คีออส) ที่เริ่มมาตั้งแต่ปี 2562 ถึงปัจจุบัน ที่สามารถสร้างรายได้แตะระดับ 20-30 ล้านบาทต่อเดือน จากตอนเริ่มทำยอดขายเพียงหลักหมื่นบาทต่อวัน สำหรับก่อนโควิดระบาด ป๊อปคอร์นทำรายได้ 30% ของพอร์ตโฟลิโอบริษัท ช่วงโควิดสัดส่วนแตะ 70% โดยปีนี้บริษัทตั้งเป้าจะผลักดันรายได้ป๊อปคอร์นแตะ 5,000 ล้านบาท จากปี 2565 มีรายได้ราว 2,500 ล้านบาท
แบ่งสัดส่วนการขายในโรง 40% และนอกโรง 60% ตั้งเป้าอนาคตจะทำให้สัดส่วนรายได้ป๊อปคอร์นมีรายได้เท่ากับยอดขายตั๋วหนังที่ 50% ด้วยแผนที่วางไว้ปีนี้เมเจอร์จะรุกทำตลาดป๊อปคอร์นอย่างจริงจังด้วยการร่วมกับเถ้าแก่น้อยฯ ในการผลิตสินค้า พัฒนารสชาติใหม่ รวมถึงปรับราคาลงเพื่อจำหน่ายในร้านสะดวกซื้อ รวมถึงใช้ความเชี่ยวชาญในการทำตลาดสแน็คสาหร่ายของเถ้าแก่น้อยผ่านร้านค้าทั่วไป มาต่อยอดให้กับป๊อบคอร์นของเมเจอร์ฯ ภายใต้แบรนด์ “ป๊อปสตาร์” อนาคตมองโอกาสในการขยายตลาดไปยังต่างประเทศด้วย นอกจากนี้บริษัทยังมองการหารายได้พิเศษอื่นๆ เช่น ใช้พื้นที่โรงหนัง จัดกิจกรรมต่างๆ เช่น อีเวนต์ การเปิดตัวสินค้า จัดรับชมคอนเสิร์ตแบบไลฟ์สตรีม เป็นต้น ซึ่งจากแผนดังกล่าวบริษัทคาดว่าจะสามารถผลักดันรายได้กลับมาราว “หมื่นล้านบาท” ได้อีกครั้ง
*************************************
“ปีนี้เรามีแผนจะรุกธุรกิจเกี่ยวกับฟู้ดภายใต้แบรนด์ของเอสเอฟเอง โดยจะทั้งทำเองและในลักษณะเป็นคอลแลปส์แบรนด์กับคนอื่นด้วย”
ด้าน พิมสิริ ทองร่มโพธิ์ ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด บริษัท เอส เอฟ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ตั้งแต่ช่วงกลางปีที่ผ่านมาภาพรวมอุตสาหกรรมโรงภาพยนตร์ทั่วโลกเริ่มกลับมาดีแล้วถึง 75% โดยเมื่อปลายปีที่แล้วก็ได้มีการเข้าฉายหนังฟอร์มยักษ์อย่างเรื่องอวตารที่สร้างปรากฏการณ์ให้กับวงการภาพยนตร์ทั่วโลกอย่างมาก ภายหลังจากที่เกิดสถานการณ์โควิดใน 3 ปีที่ผ่านมา เราแทบไม่ได้มีหนังใหม่จากหนังฮอลลีวู้ดเข้ามาฉายเลย เนื่องจากการแพร่ระบาดที่รุนแรงในช่วงดังกล่าวที่ผ่านมา โดยเรามั่นใจว่าหนังอวตารจะกลับมาสร้างความคึกคักและสร้างรายได้ให้กับโรงหนังอย่างแน่นอน เพราะเป็นหนังภาคต่อมา 13 ปีของเจมส์ คาเมรอน ที่ใช้ทุนสร้างมหาศาลและผู้ชมต่างรอคอยมาอย่างยาวนาน ในส่วนของเอสเอฟรายได้ปี 2565 ที่ผ่านมาก็เริ่มกลับมาแล้ว 75% และคาดว่าอุตสาหกรรมโรงภาพยนตร์ปี 2566 นี้จะกลับมาดีขึ้นอย่างแน่นอน โดยคาดหวังว่าในปี 2566 นี้รายได้จะกลับมาเติบโตเทียบเท่ากับปี 2562 ก่อนมีโควิดที่เรามีรายได้อยู่ที่ 4,671 ล้านบาท) เพราะปีนี้มีหนังฟอร์มยักษ์หลายเรื่องที่เข้ามาฉายตลอดทั้งปี อาทิ puss in boots : the last wish , the woman king, Ant-Man and the Wasp , John Wick : Chapter4 , Shazam!2 Fury of the Gods , Fast&Furious 10 , Guardians of yhe Galaxy3 ,The Little Mermaid , Transformers:Rise of the Beasts , The Marvels, Mission Impossible7 ,Aquaman and the lost kingdom .ขุนพันธ์3 เป็นต้น
จากสถานการณ์โควิดที่ดีขึ้นอย่างต่อเรื่อง ที่จะส่งผลให้อุตสาหกรรมโรงภาพยนตร์ปีนี้กลับมาคึกคักอีกครั้ง ปีนี้บริษัทจึงได้เตรียมเงินลงทุนหลัก 100 ล้านบาท เพื่อทำการรีโนเวตสาขาเดิมที่เป็นหัวใจหลัก เช่น เดอะมอลล์บางกะปิ ,เดอะมอลล์บางแค ,เซ็นทรัล พลาซารามอินทรา ,เซ็นทรัล พลาซาลาดพร้าว ,เซ็นทรัล ขอนแก่น ,โรบินสัน จันทบุรี และเปิดสาขาใหม่ที่ห้างฟอรั่มพลาซ่า จ.ชลบุรี จากปีก่อนที่เราได้รีโนเวตสาขาเดิมไปพอสมควรควบคู่กับเปิดสาขาใหม่มีอยู่หลายแห่ง ไม่ว่าศูนย์การค้าโรบินสัน บ้านฉาง จ.ระยอง, โรบินสัน ถลาง จ.ภูเก็ต ,เทอร์มินอล 21 พระราม3 ,แพชชั่น ช้อปปิ้ง เดสติเนชั่น จ.ระยองและจังซีลอน จ.ภูเก็ต ที่ปรับโฉมใหม่ ส่งผลให้ปัจจุบันเอสเอฟมีโรงหนังทั้งสิ้น 66 สาขา 403 โรง และ 84,750 ที่นั่ง กระจายอยู่ทั่วประเทศ แยกเป็นสาขาในกรุงเทพฯ และปริมณฑล 21 สาขา และต่างจังหวัด 46 สาขา
นอกจากนี้ เอสเอฟจะเน้นสร้างประสบการณ์ใหม่ๆ ให้กลุ่มลูกค้านอกเหนือจากการชมภาพยนตร์ ด้วยการโฟกัสไปในกลุ่มโรงหนังพรีเมียมเพราะตัวเลขรายได้จากกลุ่มนี้กลับมาดีมาก มากกว่ากลุ่มโรงสแตนดาร์ดเนื่องจากโควิดทำให้ลูกค้าต้องการเลือกความสะดวกสบายมากขึ้น ซึ่งก่อนหน้านี้ที่สาขา เดอะคริสตัล เอกมัย- รามอินทรา ได้เพิ่มโรงTHE BED CINEMA by Omazz นำเตียงรุ่นใหม่จากโอมาซมาใช้ภายในโรงภาพยนตร์ 30 เตียงนอน รวมการบริการเลานจ์ นำอาหาร ป๊อปคอร์น และเครื่องดื่มมาบริการลูกค้าก่อนเข้าชมภาพยนตร์ 1 ชั่วโมง และตลอดการชม ราคาบริการเริ่มต้น 1,500 บาท ได้รับการตอบรับค่อนข้างมาก เพราะตรงกับความต้องการของลูกค้า ซึ่งคนที่มาโรงหนัง ต้องการประสบการณ์ที่แตกต่าง เราต้องทำให้เขารู้สึกถึงความแตกต่างนั้นให้ได้
ล่าสุดของ ”เอสเอฟ”ที่ร่วมกับวอเตอร์ ไลบรารี่ (Water Library) เครือร้านอาหารชั้นนำของไทย ที่มีแบรนด์หลากหลาย เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของโรงภาพยนตร์ในเครือ เอส เอฟ มาเติมเต็มประสบการณ์ชมภาพยนตร์ให้แก่ลูกค้าที่ใช้บริการเฟิร์สคลาสเลานจ์ ก่อนชมภาพยนตร์ 1 ชั่วโมง ที่โรงเฟิร์สคลาสทั้ง 7 สาขา อาทิ เซ็นทรัลเวิลด์ ,พระราม9 ,ลาดพร้าว ,เทอร์มินอล 21 พัทยา ,ภูเก็ต เอกมัย-รามอินทรา ราคาเริ่มต้นเพียง 1,000 บาท โดยปีนี้ก็วางแผลนว่าจะเพิ่มโรงพรีเมียม เฟิร์สคลาส และ THE BED Omazz ในกรุงเทพฯ สาขาเดิมที่มีอยู่ อีกทั้ง ยังเพิ่มโรงพิเศษและมีร้านกาแฟ CINECAFE ไว้บริการทั้งคนที่มาเูนั่งและลูกค้่ทั่วไป ขณะนี้มี 3 สาขาที่เอ็มบีเค เซ็นเตอร์ ,เดอะมอลล์ไลฟ์สโตร์ ท่าพระ และเทอร์มินอล21 พระราม3 โดยมีแผนจะเพิ่มอีกอีกหลายแห่งในปีหน้า ทำเป็นโมเดลเล็กเป็นแบบคีออส
พิมสิริ ทองร่มโพธิ์ กล่าวต่อว่า นอกจากนี้ในช่วงวิกฤติโควิดที่ผ่านมาทางเอสเอฟยังได้ขยายไปทำในเรื่องของสเปเชี่ยลซีนีม่าและสเปเชี่ยลคอนเทนด์ อย่าง จัดรับชมคอนเสิร์ตแบบไลฟ์สตรีมสดของทั้งศิลปินไทย และต่างประเทศ เป็นต้น มาตอบโจทย์กลุ่มลูกค้าในกลุ่มที่ชื่นชอบศิลปินแต่ไม่สามารถกดบัตรไปดูคอนเสิร์ตสดๆ ในสถานที่จริงได้ สิ่งนี้ก็เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้รายได้เอสเอฟพลิกกลับมาดีขึ้น และปีนี้เรายังคงให้ความสำคัญกับการนำคอนเทนด์รูปแบบใหม่ ๆ มาฉายหรือมาถ่ายทอดสดในโรงหนังเพื่อสร้างรายได้เสริมตรงจุดนี้ต่อไป พร้อมกันนี้ก็จะยังคงลุยในธุรกิจป๊อปคอร์นที่ได้เพิ่มขึ้นช่วยสร้างรายได้อีกทางหนึ่งจากช่วงโควิดมีขายเดลิเวอรี่ ตอนนี้กระโดดไปอยู่บนแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซซึ่งก็ถือว่าสร้างรายได้ให้กับเราได้อย่างดีมากเช่นกัน
ปัจจุบันป๊อปคอร์นที่จำหน่ายหน้าสาขา มี 4 รสชาติหลักๆ คือ ออริจินัล, คอร์นชีส, คาราเมล และปาปริก้า ส่วนป๊อปคอร์นถุงฟอยล์ สามารถเก็บได้นานถึง 6 เดือน มีขายผ่านช่องทางออนไลน์ของ SF Cinema บน Shopee, Lazada, JD และ Tiktok ราคาถุงละ 150 บาท มี 4 รสชาติคือ ออริจินัล, คอร์นชีส, คาราเมล และปาปริก้า อีกทั้งยังมี Corn Quix ราคา 120 บาท/กระป๋อง มี 3 รสชาติคือ ปลาหมึกย่าง, คาราเมล และเห็ดทรัฟเฟิล และขนมข้าวโพดแท่ง Corn Stix ราคา 40 บาท/ถุง มี 3 รสชาติคือ ต้มยำ, บาร์บีคิว และโนริสาหร่าย วางจำหน่ายที่หน้าโรงหนังเราด้วย
อีกทั้ง ในปีนี้เรามีแผนจะรุกธุรกิจเกี่ยวกับฟู้ดซึ่งเป็นสแน็คภายใต้แบรนด์ของเอสเอฟเอง โดยจะมีทั้งแบบทำเองและคุยกับคนที่จะร่วมด้วย ในลักษณะเป็นคอลแลปส์แบรนด์ มีกำลังเจรจาอยู่ในการมาร่วมทำการตลาดด้วยกัน และอนาคตอาจจะทำขยายไปจำหน่ายช่องทางห้างสรรพสินค้าและร้านสะดวกซื้อด้วยเช่นกัน