“เพชรศรีวิชัยฯ” ชูกลยุทธ์สร้างมูลค่าเพิ่มสินค้า ต่อยอดธุรกิจสู่ความยั่งยืน ตั้งเป้ารายได้รวมไม่ต่ำกว่า 35,000 ล้านบาท พร้อมกรุยทางเข้า SET ปีนี้

วันจันทร์ที่ 23 มกราคม พ.ศ. 2566

“เพชรศรีวิชัยฯ” ชูกลยุทธ์สร้างมูลค่าเพิ่มสินค้า ต่อยอดธุรกิจสู่ความยั่งยืน ตั้งเป้ารายได้รวมไม่ต่ำกว่า 35,000 ล้านบาท พร้อมกรุยทางเข้า SET ปีนี้


เพชรศรีวิชัย เอ็นเตอร์ไพรส์ (PCE) ผู้นำธุรกิจน้ำมันปาล์มและระบบโลจิติกส์ครบวงจร กางแผนธุรกิจปี 2566 ตั้งเป้ารายได้ไม่ต่ำกว่า 35,000 ล้านบาท ชูกลยุทธ์สร้างมูลค่าเพิ่มให้สินค้าต่อยอดธุรกิจ สร้างความเชื่อมั่นและขยายฐานลูกค้า พร้อมรองรับการขยายตัวของอุตสาหกรรมปาล์มและยกระดับมาตรฐานสู่ความยั่งยืนในอนาคต

นายประกิต ประสิทธิ์ศุภผล ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท เพชรศรีวิชัย เอ็นเตอร์ไพรส์ จำกัด (PCE) ผู้นำธุรกิจน้ำมันปาล์มครบวงจร เปิดเผยว่า PCE ถือว่าเป็นผู้นำในธุรกิจน้ำมันปาล์มครบวงจรรายใหญ่ในประเทศไทย ด้วยประสบการณ์การดำเนินธุรกิจเกือบ 40 ปี จากการดำเนินธุรกิจผลิตและจำหน่ายสินค้าและให้บริการ ที่มีคุณภาพและมาตรฐาน พร้อมด้วยระบบการขนส่งทั้งทางบกและทางเรือที่มีประสิทธิภาพ รวมถึงการบริการคลังสินค้าและท่าเทียบเรืออย่างเป็นระบบ ทำให้บริษัทได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวาง โดย ปี 2566 PCE ตั้งเป้าหมายที่จะยกระดับองค์กรให้มีมาตรฐานด้านคุณภาพและบริการ เพื่อก้าวสู่ความเป็นหนึ่งในอุตสาหกรรม และสามารถแข่งขันได้ในระดับสากล ด้วยการสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับผลิตภัณฑ์และบริการ ให้สามารถตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าในทุกกลุ่มธุรกิจและบริการ พร้อมทั้งรักษามาตรฐานด้านสินค้าและบริการ เพื่อให้เกิดการยอมรับและสามารถขยายฐานลูกค้าต่อไปในอนาคต ตลอดจนสร้างการเติบโตและความยั่งยืนทางธุรกิจอย่างต่อเนื่องในอนาคต ควบคู่ไปกับการบริหารงานด้วยนวัตกรรมและเทคโนโลยีที่ทันสมัย เพื่อทำให้การบริหารจัดการต้นทุนมีประสิทธิภาพสูงสุด ประกอบกับการสร้างความมีส่วนร่วมในการพัฒนาองค์กรและบุคลากร ด้วยระบบการจัดการภายในให้เกิดประสิทธิภาพและประสิทธิผลสูงสุด  ภายใต้การบริหารงานตามหลักธรรมาภิบาล เพื่อสร้างสังคมที่ดีให้กับทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง

นอกจากนี้จุดแข็งของ PCE คือสามารถรองรับการขยายตัวของอุตสาหกรรมปาล์มได้อย่างครบวงจร ในช่วงระยะเวลา 3-4ปี ข้างหน้า ทั้งการแปรรูปปาล์มสู่ผลิตภัณฑ์ต่างๆ การขนส่งทั้งทางเรือและบก คลังสินค้า ซึ่งอำนวยความสะดวกให้กับผู้ประกอบการได้อย่างมีประสิทธิภาพ และรองรับผลผลิตปาล์มที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในอนาคต

“ปี 2566 บริษัทตั้งเป้ารายได้ไม่น้อยกว่า 35,000 ล้านบาท โดยจะเน้นการพัฒนาคุณภาพสินค้าและบริการ ให้มีมาตรฐานเพื่อสร้างความเชื่อมั่นและขยายฐานลูกค้าในทุกกลุ่มธุรกิจ ด้วยความโดดเด่นด้านการให้บริการที่ครบวงจร ทำให้ลูกค้าได้รับความพึงพอใจสูงสุด นอกจากนี้บริษัทตั้งเป้าเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ ซึ่งถือเป็นพันธกิจสำคัญ เพื่อตอกย้ำความเป็นผู้นำในธุรกิจ และการสร้างความเชื่อมั่นต่อลูกค้าและพันธมิตร ตลอดจนการวางรากฐานของการดำเนินธุรกิจ รวมถึงโครงสร้างทางการเงินให้มีความแข็งแกร่ง เพื่อให้สามารถรองรับการเติบโตในอนาคต” นายประกิตกล่าว

กลุ่มธุรกิจ PCE ประกอบด้วย 

  • บริษัท นิว ไบโอดีเซล จำกัด ประกอบธุรกิจผลิตและจำหน่าย น้ำมันไบโอดีเซล น้ำมันปาล์มดิบ และน้ำมันพืชสำหรับการบริโภค โดยโรงงานรีไฟท์น้ำมันปาล์ม สามารถผลิตได้ 1,800 ตัน/วัน แบ่งเป็นน้ำมันปาล์มสำหรับบริโภคกึ่งสำเร็จรูปและสำเร็จรูปได้วันละ 1,000 ตัน และสำหรับผลิตเป็น B100 เพื่อเป็นส่วนผสมในน้ำมันดีเซลได้อีกวันละ 1.2 ล้านลิตรต่อวัน ส่วนโรงงานสกัดผลปาล์มที่รับซื้อจากเกษตรกรสามารถผลิตได้อีก 1,800 ตันต่อวัน /หรือปีละไม่ต่ำกว่า 500,000 ตัน โดยคาดว่าปี 2566 จะมีรายได้ 13,200 ล้านบาท
  • บริษัท ปาโก้เทรดดิ้ง จำกัด ประกอบธุรกิจซื้อขายน้ำมันปาล์มดิบ น้ำมันเมล็ดในปาล์ม เมล็ดในปาล์ม และผลิตภัณฑ์อื่นๆ จากปาล์ม ทั้งในและต่างประเทศ ซึ่งมีปริมาณและมูลค่าการซื้อขายและส่งออกเป็นอันดับต้นๆของประเทศ โดยตั้งเป้ารายได้ปี 2566 มากกว่า 20,000 ล้านบาท
  • บริษัท เพชรศรีวิชัย จำกัด ประกอบธุรกิจให้บริการขนส่งสินค้าทางบกภายในประเทศซึ่งมีรถให้บริการมากกว่า 150 คัน และขนส่งส่งได้ปีละไม่ต่ำกว่า 800,000 ตัน โดยปีนี้ตั้งป้ารายได้ 380 ล้านบาท
  • บริษัท พี.ซี. มารีน (1992) จำกัด ประกอบธุรกิจให้บริการขนส่งสินค้าทางเรือ ทั้งในและต่างประเทศ โดยมีขนาดเรือ 2,000 – 2,500 ตัน ซึ่งสามารถขนส่งได้ทั้งของแห้งและของเหลว รวม 15 ลำ โดยขนส่งสินค้าได้ปีละไม่ต่ำกว่า 1 ล้านตัน บนเส้นทางสุราษฏร์ธานี-บางปะกง โดยตั้งเป้ารายได้ปี 2566 ที่ 200 ล้านบาท
  • บริษัท พี.เค. มารีน เทรดดิ้ง จำกัด ประกอบธุรกิจให้บริการท่าเทียบเรือ พื้นที่ฝากเก็บสินค้า และเตรียมความพร้อมก่อนขนส่ง โดยมีพื้นที่มากกว่า 40,000 ตร.ม. และมีคลังน้ำมันที่สามารถรองรับได้ 240,000 ตัน โดยมีท่าเทียบเรือในจังหวัดสุราษฏร์ธานีและฉะเชิงเทรา โดยปีนี้คาดว่าจะมีรายได้ 180 ล้านบาท

นายประกิต กล่าวเพิ่มเติมว่า อุตสาหกรรมน้ำมันปาล์มในประเทศ ยังอยู่ในทิศทางที่ดี ยังเป็นอุตสาหกรรมที่มีแนวโน้มขยายตัวต่อเนื่องจากความต้องการใช้ทั้งในและต่างประเทศ อีกทั้งถือว่าเป็นอุตสาหกรรมที่มีความสำคัญต่อประเทศ ทั้งในด้านเกษตรกรรมและอุตสาหกรรมที่มีความเชื่อมโยงกันกับอุตสาหกรรมอื่นๆ ซึ่งน่าจะยังคงได้รับการสนับสนุนและส่งเสริมจากภาครัฐ โดยประเทศไทยมีผลผลิตปาล์มเป็นอันดับ 3 ของโลก โดยในปี 2565 มีเนื้อที่เพาะปลูกประมาณ 7 ล้านไร่ มีผลผลิต 19 ล้านตัน หรือประมาณ 2,843 ตันต่อไร่  เพิ่มขึ้นจากปี 2564 ที่มีเนื้อที่ 6 ล้านไร่ และมีผลผลิตประมาณ 18 ล้านตัน



บริษัท สมาร์ท โกลด์ มีเดีย กรุ๊ป จำกัด SMART GOLD MEDIA GROUP CO.,LTD. ติดต่อสอบถาม โทร : 0893284192 , ID Line : @siamturakij และ ฝ่ายโฆษณา siamturakijadvertising@gmail.com
© 2013 สยามธุรกิจ