ไตร จตุทศวรรษ เล่าเรื่อง
ในการเลือกตั้งครั้งต่อไป ไม่ว่าพรรคไหนจะได้เสียงข้างมากก็ไม่มีทางที่จะจัดตั้งรัฐบาลพรรคเดียว เพราะรัฐบาลผสมนั้นเป็นวิถีประชาธิปไตยแบบเบ็ดเสร็จของประเทศไทย ไม่ว่าจะได้คะแนนเสียงมากแค่ไหน ฝ่ายจัดตั้งรัฐบาลก็ยังต้องการเสียงสนับสนุนเกือบทั้งหมดในรัฐสภา เพื่อกุมอำนาจเผด็จการทางรัฐสภา
ในการเลือกตั้ง พ.ศ.2544 พรรคไทยรักไทย ภายใต้การนำของ นายทักษิณ ชินวัตร ได้รับเลือกเข้าสภามากถึง 248 ที่นั่งขาดอีก 2 ที่นั่งก็จะได้ครึ่งหนึ่งของ 500 ที่นั่ง มากกว่า 128 ที่นั่งของพรรคประชาธิปัตย์ที่นายชวน หลีกภัยเป็นหัวพรรคถึง 120 ที่นั่ง ซึ่งถ้าหาก 2 พรรคนี้รวมกันก็มีที่นั่งในสภามากถึง 376 ที่นั่ง ท่วมท้นสภาชนิดที่ฝ่ายค้านซึ่งเหลือคะแนนเสียงเพียง 124 เสียงไม่มีทางจะหืออืออะไรได้เลย
แต่ไทยรักไทยเลือกที่จะดึงเอาพรรคชาติไทยที่มีนายบรรหาร เป็นหัวหน้าพรรคและคะแนนเสียงอยู่ 41 ที่นั่ง กับ พรรคความหวังที่มีอยู่ 36 ที่นั่งภายใต้การนำของ พลเอกชวลิต ยงใจยุทธ มาร่วมกันจัดตั้งรัฐบาล ทำให้เป็นรัฐบาลที่มีเสียงสนับสนุนอยู่ 325 ที่นั่ง มั่นคงแข็งแรงจนเป็นรัฐบาลแรกของประเทศไทยที่มีอายุครบ 4 ปี แรงสนับสนุนที่ทำให้ดำรงตำแหน่งครบวาระนั้น
เหตุที่ทำให้ นายทักษิณ สร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่ของพรรคการเมืองไทยที่อยู่อำนาจครบเทอมไม่ใช่เพียงมีเสียงข่างมาก แต่เป็นเพราะทั้งตัว นายทักษิณ พลเอกชวลิต และนายบรรหาร ล้วนแต่เป็นคน “พวกเยอะ” แทบจะเรียกได้ว่าในทุกพรรคการเมืองยุคนั้น จะต้องมี “พวก” ของ 3 ท่านนี้อยู่
ในการเลือกตั้ง พ.ศ.2548 มีปรากฏการณ์ “พรรคผสม” เมื่อ นายทักษิณ ระดมแนวร่วมจากพรรคความหวังใหม่,พรรคชาติพัฒนา, พรรคกิจสังคม, พรรคเสรีธรรม และพรรคเอกภาพเข้ามาด้วยกัน ทำให้ได้คะแนนเสียงมากถึง 377 ที่นั่ง Landslide ตัวจริงเสียงจริงไม่ใช่เพ้อฝัน ในขณะที่พรรคประชาธิปัตย์ยุคนายบัญญัติ บรรทัดฐานเป็นหัวหน้าพรรคประกาศว่าต้องการ 201 เสียง หรือ 1 ใน 3 ของสภา เพื่อจะได้มีอำนาจมากพอที่จะเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลโดยไม่ต้องไปงอนง้อใครกลับได้มาก 96 ที่นั่ง
การเลือกตั้งครั้งนั้นแทบจะทำให้ประเทศไทยก้าวสู่การมีพรรคการเมืองพรรคใหญ่แค่ 1-3 พรรคเท่านั้น เพราะครั้งนั้นนอกจากพรรคไทยรักไทย จะได้ 377 ที่นั่ง พรรคประชาธิปัตย์ 96 ที่นั่งแล้ว ชาติไทย ก็ได้มาแค่ 25 ที่นั่ง และพรรคมหาชน ได้มา 2 ที่นั่ง
จากผลการเลือกตั้งที่ได้คะแนนเสียงมาท่วมท้น ทำให้ นายทักษิณ สร้างประวัติศาสตร์การเมืองหน้าใหม่ได้ด้วยการตั้งรัฐบาลพรรคเดียวที่มั่นคงเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่มีการเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ.2475 ในขณะที่พรรคฝ่ายค้านก็กลายเป็น “งูไร้หัว” เพราะไม่มีคะแนนเสียงมากพอที่จะดำเนินการทางการเมืองในสภาได้ถนัด
อย่างไรก็ตาม รัฐบาลชุดทักษิณ 2 นี้ ถึงจะมองจากภายนอกว่าไม่เป็นรัฐบาลผสม แต่ภายในเนื้อแท้แล้วแบ่งเป็นหลายพรรคหลายพวก เป็น “รัฐบาลเน่าใน” ที่มีการแก่งแย่งช่วงชิงผลประโยชน์ทั้งภายในพรรคและนอกพรรค จนในที่สุดก็เกิดกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ที่ประกาศตนว่าเป็น กลุ่มพันธมิตรกู้ชาติ หรือที่ชาวบ้านรู้จักกันดีว่า กลุ่มคนเสื้อเหลือง นำโดยนายสนธิ ลิ้มทองกุล ผู้ก่อตั้งหนังสือพิมพ์ผู้จัดการและในอดีตก็เป็นกลุ่มพลังที่ผลักดันใน นายทักษิณ ลงเล่นการเมืองออกมาเคลื่อนไหวบนท้องถนน จนเกิดกระแสปั่นป่วนวุ่นวายไปทั้งเมือง
ในที่สุดเมื่อ 19 กันยายน 2549 พลเอกสนธิ บุญยรัตกลิน ผู้บัญชาการทหารบกขณะนั้นก็นำกำลังเข้าทำรัฐประหารในนามของคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ยึดอำนาจรัฐบาลนายทักษิณในช่วงที่นายทักษิณ เดินทางไปสหรัฐเพื่อเข้าร่วมประชุมสมัชชาสหประชาชาติ เพื่อขอการสนับสนุนจากประเทศสมาชิก ให้สนับสนุนนายสุรเกียรติ์ เสถียรไทย รองนายกรัฐมนตรี เป็นเลขาธิการสหประชาชาติคนต่อไป
พลเอกสนธิ ประกาศหลังเข้ายึดอำนาจว่า มาเพื่อยุติความขัดแย้งในสังคม จัดระเบียบประเทศไทยเสียใหม่ และจะใช้เวลา 1 ปี หลังจากนั้นแล้วจะจัดให้มีการเลือกตั้ง ซึ่งท่านก็ทำตามคำพูดทุกอย่าง
ในการเลือกตั้งทั่วไปเมื่อ 23 ธันวาคม 2550 พรรคพลังประชาชนที่มี นายสมัคร สุนทรเวช เป็นหัวหน้าได้คะแนนเสียง 256 ที่นั่งมากเป็นอันดับ ๆ และได้รับเลือกจากสภาให้เป็นนายกรัฐมนตรีบริหารประเทศ ก่อนจะส่งไม้ต่อให้กับนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ รองหัวหน้าพรรคเข้ารับตำแหน่งต่อ แต่ก็ดำรงตำแหน่งได้ไม่ถึง 3 เดือน
อย่างไรก็ตาม แม้จะดำรงตำแหน่งไม่นาน แต่ก็สร้างปรากฏการณ์ใหม่ในวงการเมืองไทย เพราะนายสมชาย นั้นเป็นน้องเขยของ นายทักษิณ มีความเกี่ยวโยงกันอย่างใกล้ชิด กลายเป็นดองครองเมือง
ตลอดเวลาที่ดำรงตำแหน่ง นายสมชายแทบจะไม่ได้เข้าไปบริหารประเทศในทำเนียบเลย เขายึดสนามบินดอนเมืองซึ่งช่วงนั้นปิดให้บริการเพราะเรามีสนามบินสุวรรณภูมิแล้วเป็นทำเนียบ เหตุที่นายสมชาย เข้าทำเนียบไม่ได้เพราะกลุ่มคนเสื้อเหลืองตั้งกลุ่มชุมนุมเต็มพื้นที่รอบทำเนียบ
เหตุที่นำไปสู่การพ้นจากตำแหน่งของนายสมชายคือการทุจริตการเลือกตั้งของนายยงยุทธ ติยะไพรัช กรรมการบริหารพรรคและนำไปสู่การยุบพรรค ทำให้นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ได้เข้ามาเป็นนายกรัฐมนตรีการชุมนุมประท้วงของมวลชนคนเสื้อแดง
และหลังจากนั้นตระกูลชินวัตรก็สร้างประวัติศาสตร์การเมืองครั้งใหญ่ด้วยการผลักดันนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ขึ้นมาเป็นนายกรัฐมนตรีหญิงคนแรกของประเทศไทย แต่ก็อยู่ไม่ได้ครบเทอมเหมือนพี่ชาย เพราะเกิดการชุมนุมของคนเสื้อเหลืองกลับมาลงถนนประท้วง จนกรุงเทพเข้าสู่กลียุค เกิดความแตกแยกขัดแย้งกันตั้งแต่ในถนนจนถึงในครอบครัว
ในที่สุด พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก ที่เคยยืนค้อมกายให้กับ “นายกฯปู” นำคณะคณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ หรือ รสช. เขายึดอำนาจทำให้ “นายกฯปู” ต้องหนีไปอยู่ต่างแดนแบบพี่ชายจนถึงทุกวันนี้
เก็บมาเล่าไล่ลำดับตั้งแต่ก่อนทักษิณ เพราะเห็นว่า เหตุการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดในช่วงที่ พลเอกประยุทธ์ แบบ “ลากตั้ง” มาตั้งแต่ครั้ง รสช.จนผ่านการเลือกตั้งก็ยังไม่พ้นการ ”ลากตั้ง” และกำลังจะลงเลือกตั้งในฐานะหัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติในครั้งหน้านั้น
ปรากฏการณ์ทางการเมืองที่เคยเกิดมาแล้วในอดีต หลายส่วนคล้ายคลึงกับที่เกิดขึ้นในช่วงร่วม 6 ปีที่ พลเอกประยุทธ์ เป็นนายกรัฐตรีจนทำให้พอคาดการณ์ได้ว่า การจะกลับมาเป็นนายกรัฐมนตรีที่มีระยะเวลาดำรงตำแหน่งเพียง 2 ปีเศษนั้น มีทางเป็นไปได้ค่อนข้างมากที่จะต้องมี “นายกรัฐมนตรีสำรอง” เพื่อเปลี่ยนไม้ถ่ายโอนอำนาจในทางนิตินัยระหว่างพรรคการเมืองที่เป็นแนวร่วมอย่างพลังประชารัฐกับรวมไทยสร้างชาติ
อย่างไรก็ตาม ในการเลือกตั้งครั้งหน้า ก็ยังมีพรรคที่มองข้ามไม่ได้คือ พรรคเพื่อไทย ที่มี นางสาวแพทองธาร ชินวัตร เป็น "หัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย" และ พรรคภูมิใจไทย ที่มี “หมอหนู” นายอนุทิน ชาญวีรกุล เป็นหัวหน้าพรรค แต่มี นายเนวิน ชิดชอบ เป็นกุนซือใหญ่
ถ้าจะให้คาดการณ์ล่วงหน้า รัฐบาลที่จะมาบริหารประเทศก็ยังคงเป็นรัฐบาลผสม เพราะโอกาสที่จะเกิด Landslide เหมือนในอดีตนั้นแทบจะเป็นศูนย์ และ โอกาสที่พลเอกประยุทธ์จะได้ “ต่อเวลา”นั้น ก็มีน้อยเต็มที...