วิลาสินี ภาณุรัตน์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท บาจา (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า ช่วงครึ่งปีหลัง 2022 ที่ผ่านมาส่งผลให้ตลาดรองเท้ามีการแข่งขันอย่างดุเดือด มีการคาดการณ์การเติบโตจากที่เคยคาดกันที่ 6% เป็น 20% แต่ทางแบรนด์บาจาเติบโตเร็วกว่าตลาดด้วยอานิสงค์ของการกลับมาเปิดเรียนตามปรกติอีกครั้ง และคนทำงานกลับไปที่ทำงานมีการเดินทางออกจากบ้านทำให้ลูกค้ามีความต้องการรองเท้ามากขึ้น เราจึงจบปีที่แล้วโตขึ้นถึง 75% และมีสมาชิกใหม่เพิ่มขึ้นถึงกว่า 600,000 คน โดยลูกค้าใหม่ส่วนใหญ่เป็นวัยทำงาน และวัยคุณแม่ยังสาว
“ช่วงปลายปีที่ผ่านมา เราจะได้เห็นอินเตอร์เนชั่นแนลแบรนด์หลายๆ แบรนด์เลือกประเทศไทยเป็นประเทศยุทธศาสตร์ในการขยายร้านค้าและแฟล็กชิพสโตร์มากมาย สะท้อนให้เห็นถึงการฟื้นตัวและแนวโน้มการเติบโตของตลาดแฟชั่นในไทย โดยบาจาเองได้เปิดร้านใหม่เพิ่มเติม 12 สาขา รวมเป็น 230 สาขา และยังได้ขยายช่องทางการจัดจำหน่ายออนไลน์เพิ่มขึ้นเกือบ 3 เท่าตัว ทั้งทาง www.bata.co.th รวมทั้งแพลตฟอร์มชอปปิ้งออนไลน์ชื่อดังอย่าง Lazada และ Shopee”
ผู้บริหารคนสวย กล่าวต่อว่า สำหรับในปี 2023 นี้บาจามีความมั่นใจว่าตลาดรองเท้าจะกลับมาฟื้นตัวเกือบเท่าช่วงก่อนโควิด ทำให้บาจาตัดสินใจเพิ่มงบการตลาดขึ้นเท่าตัว เพื่อเร่งขยายฐานลูกค้าจากเดิมชึ้นอีกเท่าตัว โดยมุ่งเน้นจับกลุ่มคนรุ่นใหม่มากขึ้นด้วยการนำสินค้าที่ตอบสนองความต้องการของคนกลุ่มนี้เข้ามาเพิ่มเติม และเพิ่มช่องทางการสื่อสารไปสู่กลุ่มคนรุ่นใหม่นี้มากขึ้นเพื่อมุ่งไปสู่การเป็นแบรนด์รองเท้าอันดับ 1 ภายใน 3 ปี บาจาดึง “เบลล่า-ราณี” เป็นแบรนด์แอมบาสเดอร์ต่อเนื่องเป็นปีที่ 2 และเปิดตัว Friend of Bata คู่ใหม่ “ซี-พฤกษ์ พานิช” และ “นุนิว ชวรินทร์ เพริศพิริยะวงศ์” พร้อมกับการเปิดตัวแคมเปญ “Surprisingly Bata CinderBella” เพื่อหวังเจาะกลุ่มลูกค้าให้หลากหลายมากขึ้น อีกทั้งยังมีการเผยโฉม BATA club เพื่อเพิ่มสิทธิประโยชน์ให้กับลูกค้าเดิม ตลอดจนการทำ CRM เต็มรูปแบบในส่วนของสินค้าและเพิ่มช่องทางการจัดจำหน่ายและการสื่อสารกับลูกค้าผ่านช่องทางออนไลน์เพิ่มจาก Tiktok และ Line เพิ่มเพื่อดันสัดส่วนยอดขายจากออนไลน์และโซเชียลที่ขณะนี้อยู่ที่ 9% ให้ปีนี้เพิ่มเป็น 15% อีกทั้งเร่งขยายสาขาเพิ่มอีก 15 สาขา ในปีนี้ ขณะนี้มีแผนเปิดแน่นอนแล้ว 7 สาขา แต่อีก 4 สาขาขึ้นอยู่กับว่าได้ทำเลดีหรือไม่ จากปัจจุบันมีสาขารวม 230 สาขา โดยมีสาขาที่เรียกว่าคอนเซ็ปต์สโตร์ที่เป็นเหมือนสาขาสร้างแบรนด์ไม่ได้เน้นยอดขายมากนัก คือที่เยาวราชปรับปรุงแล้ว สาขาสาทรอยู่ระหว่างปรับปรุง และอีกสาขาคาดว่าจะเป็นที่สยามสแควร์วัน
นอกจากนี้จะมีการปรับปรุงสาขาเดิมต่อเนื่องอีก 57 สาขาที่เหลือในปีนี้จากเดิมที่ปีที่แล้วปรับปรุงไป 87 สาขาแล้ว ให้เป็นโฉมใหม่ และวางสินค้าให้เป็นกลุ่มชัดเจนคือ รองเท้ายอดขายหลัก รองเท้าขายดี รองเท้าเทรนด์ และสินค้านวัตกรรม และนำระบบไอเอสเอส (ISS / in-store sales) เข้ามาให้บริการด้วย กับสาขาที่มียอดขายไม่มาก โดยเมื่อลูกค้ามาที่ร้านแต่ไม่มีสินค้าสีและแบบและเบอร์ที่ต้องการในสต๊อก ก็จะเช็กระบบว่ามีสาขาใดบ้างที่มีก็ให้สาขานั้นทำการส่งสินค้าให้ลูกค้าที่บ้าน ซึ่งถือว่าช่วยเพิ่มโอกาสในการขายได้มากเพราะส่วนใหญ่ร้านแบรนด์อื่นจะแค่ตรวจสอบว่ามีขายที่สาขาใดแล้วให้ลูกค้าไปซื้อสาขานั้น
อีกทั้ง ปีนี้จะมีการทำตลาดหลายรูปแบบ เช่น การคอลลาบอเรชันกับแบรนด์อื่น เช่น เดือนเมษายนจะทำการคอลแลบกับแบรนด์สไมล์ลี่ และมีแผนที่จะขยายในกลุ่มเกมเมอร์ด้วย และการทำรุ่นลิมิเต็ดแบบดีไอวายกับศิลปินดังๆ เป็นต้น นอกนั้นก็จะมีคอลเลกชันใหม่ที่ชื่อว่า บาจาเทนนิส ที่เป็นรองเท้าที่นิยมของบาจาในอดีตแต่ได้เลิกผลิตและจำหน่ายไปนานแล้ว ซึ่งไทยเราจะนำกลับมาทำตลาดใหม่อีกโดยผลิตในไทย
ปัจจุบันสัดส่วนการขายของบาจาแยกเป็นแบรนด์ คือ บาจา 78%, เพาเวอร์ 11%, นอร์ธสตาร์ 6%, บับเบิลกัมเมอร์ 5% จากยอดขายรวมปีที่แล้วที่ทำได้ประมาณ 2,450 ล้านบาท เติบโต 1% ขณะที่ช่วงก่อนโควิดยอดขายรวมประมาณ 2,400 ล้านบาทและปีนี้ตั้งเป้าหมายยอดขายรวมเติบโต 20%