สงคราม "ชิงมวลชน"

วันพุธที่ 03 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

สงคราม


แม้ฝ่ายตำรวจจะบิดเบนประเด็นระเบิดหน้ามหาวิทยาลัยราม คำแหงว่าเป็นเรื่องผลประโยชน์ขัดกันของกลุ่มพ่อค้าแผงลอยริมถนน หรือพยายามจะบอกว่าเศษระเบิดที่พบประกอบไม่เหมือนกับดงระเบิดที่ 3 จังหวัดภาคใต้ก็ตาม

แต่จากการจับกุมมือระเบิดได้ในเวลาต่อมา ปรากฏเป็นคนไทยมุสลิมมาจาก 3 จังหวัดภาคใต้ถึง 2 คนมีประวัติก่อคดีมาโชกโชน

จะให้คิดเป็นมุมอื่นค่อนข้างยากเสียแล้ว

แม้ฝ่ายตำรวจจะปากแข็งแค่ไหน หรือพยายามจะระบุพลิกแพลงยังไงทำนองว่า คนไทยมุสลิมที่มาจาก 3 จังหวัดภาคใต้มาค้าขายที่ตลาดริมถนนย่าน มหาวิทยาลัยรามคำแหงอาจโกรธเคืองเรื่องธุรกิจ... แต่ตำรวจย่อมรู้ดีว่าย่านรามคำแหงนั้น หนาแน่นไปด้วยนักศึกษาไทยมุสลิมที่มาจาก 3 จังหวัดภาคใต้

แน่นอน มองในมุมของการศึกษา ย่อมเป็นประโยชน์ต่อนักศึกษาทุกคนไม่ว่าจะมาจากภาคไหนทิศใด ถือเป็นเรื่องดีของผู้ใส่ใจใฝ่แสวงหา และตักตวงความรู้...แต่พลิกมุมคิดเพียงนิดเดียวว่า หากนักศึกษาและคนไทยมุสลิมที่มีใจไม่บริสุทธิ์กับการศึกษา แล้วอาศัยสถาบันการศึกษาเป็นแหล่งซ่องสุม สมคบคิดก่อความไม่สงบขึ้นมาจนกลายเป็น "ย่านสัญญาณภัยจากไฟใต้"

อะไรจะเกิดขึ้น?

ก็ระเบิดที่มันดังขึ้นมาแบบไม่มีปี่มีขลุ่ย ไม่มีสัญญาณเตือนภัยว่า มันลามมาอย่างเงียบๆ จากภาคใต้แล้ว...ใครจะไปห้ามได้

แน่นอน เจ้าหน้าที่ตำรวจต้องพยายามอย่างเต็มที่ ที่จะไม่ให้ประชาชนวิตกกังวล จนถึงขั้นหวาดกลัวจนเกินเหตุ แต่มันก็ห้ามไม่ได้ที่จะคิดว่า "ภัยจากไฟใต้" ได้ย่างกรายมาถึงเมืองหลวงแล้ว

หลายคนอาจคิดเอาเองว่า เหตุการณ์ 3 จังหวัดภาคใต้ ก็คงเป็น "สนามรบ" จำกัดพื้นที่ เพราะฝ่ายทหารก็ถูกส่งไปแก้ปัญหามากถึง 5-6 หมื่นนาย ใช้งบประมาณสูงถึงปีละ 2.7 หมื่นล้านบาท

แต่วันดีคืนดี ระเบิดก็แผดเสียงกึกก้องพร้อมกับสังเวยชีวิตประชาชนไปหลายศพ ณ ที่อำเภอหาดใหญ่ ซึ่งไม่ใช่เป็นพื้นที่ 3 จังหวัดภาคใต้...แล้วอะไรล่ะ คือหลักประกันความปลอดภัย

ผมไม่ได้ปลุกกระแสเพื่อให้เกิดวิตกจริตกันไปทั้งประเทศ แต่กำลังจะบอกว่า ความเป็นเสรีชนของคนไทยในแผ่นดินด้ามขวานนี้ ที่คิดว่า จะไปไหนมาไหนได้ทุกซอกทุกมุมโดยไม่ระมัดระวัง หรือไม่รู้จักสังเกต ความผิดปกติแม้แต่น้อย ย่อมเป็นช่องว่างที่จะทำให้เกิดกรณี "ระเบิดหน้าราม" ได้ทุกโมงยามทุกๆ ที่

ยิ่งรัฐบาลทั้งอดีตจนถึงปัจจุบัน ไม่อาจลดความรุนแรงที่นั่นได้เลย กระทั่งเปลี่ยนกลยุทธ์มาเป็น แผนพูดจาแสวงหาจุดร่วมให้เกิดความ สงบ "แม้ซักเสี้ยวนาที" ก็ดีถมแล้ว

ยังหาไม่ได้แม้รอยฉีกยิ้ม!

ผมไม่ได้บอกว่าให้เลิกคุยเลิกเจรจาเสียเถอะ ไม่เห็นมีประโยชน์อะไร เพราะความเจ็บปวดและความตายก็ยังดำรงต่อไปไม่มีวันสิ้นสุด...แต่เราก็ต้องอดทน ต้องพยายามทุกวิถีทาง

ผบ.ทบ.ก็ส่งสัญญาณมาแล้วว่า ถ้าพูดคุยกันไม่มีอะไรคืบหน้า "ก็จบ"

ผมจึงอยากเห็นปรากฏการณ์พิเศษทางการเมืองบ้าง นั่นคือ ความเป็นเอกภาพของบรรดานักการเมืองทุกพรรคทุกฝ่ายได้หันหน้าเข้าหา กัน และช่วยกันระดมมันสมองหาทางคิดแก้ให้เกิดความสงบอย่างจริง จังและจริงใจ โดยถอดเก็บชั้นเชิงเล่ห์เหลี่ยมที่หวังจะเอาชนะคะคานกันตลอดไป อย่างไม่คำนึงถึงความสำคัญของชีวิตคนไทยทุกศาสนาที่ทับถมล้มตายกันไปมากกว่า 5,000 ศพตลอด 9 ปีเต็ม

ยังต้องนับศพต่อไปในวันพรุ่งนี้ และวันหน้าไปเรื่อยๆ อย่างไม่รู้อนาคตว่า ความตายจะสิ้นสุดเมื่อใด

ความจริงเราๆ ท่านๆ ก็พอมองออกแล้วว่า สถานการณ์ที่นั่นไม่มีวันจบง่ายๆ แม้จะเปิดช่องพูดจากันก็ตาม เนื่องเพราะตั้งเงื่อนไขยึด "อัตตา" ของฝ่ายตัวเองสูงจนคู่เจรจาไม่อาจยอมรับได้

ผบ.ทบ.อาจไม่พูด แต่ผมก็เชื่อว่าเราคิดไม่ต่างกันคือ "เสียเวลา"

เรามาคิดยุทธศาสตร์ใหม่ให้ "ก้าวความรุนแรงที่ไร้ขีด" กันเถอะ

นั่นคือ "สงครามชิงมวลชน" ซึ่งกองทัพก็ทำแล้ว ฝ่ายปกครองก็เดินหน้าอยู่แล้ว เพียงแต่ปรับยุทธวิธีให้สอดคล้องกับพื้นที่เท่านั้น เช่นตั้งแกนนำท้องถิ่นที่เป็นคนในพื้นที่รวมตัวกันทั้งชาวไทยพุทธและมุสลิมเป็น "กองทัพประชาชน" ด้วยวิธีจัดคอร์สอบรม "ติดอาวุธทางปัญญา" อย่างเอาจริงเอาจัง

มีเงินเดือนระดับหนึ่งเหมือนทหารเหมือนข้าราชการทั่วไป แล้วสร้างหลักสูตรการศึกษาใหม่โดยยึดคัมภีร์อิสลามบริสุทธิ์เป็นเกณฑ์ให้สอดรับกับ 3 จังหวัดภาคใต้ และเปรียบเทียบความชั่วร้ายของสงคราม จากทั่วโลกมาเป็นบทเรียนและวิเคราะห์ด้วยทฤษฎีการดำรงชีวิตอย่าง สันติอย่างไร

ปรับกระบวนคิดที่เคยทำอยู่แล้วนิดเดียว บางทีท่านอาจเห็น "ทางสว่างที่ปลายรางรถไฟสายสุไหงโก-ลก" ก็ได้...อย่ามัวแต่จม ปลักอยู่กับตำนานเก่าๆ อยู่เลยครับ


บริษัท สมาร์ท โกลด์ มีเดีย กรุ๊ป จำกัด SMART GOLD MEDIA GROUP CO.,LTD. ติดต่อสอบถาม โทร : 0893284192 , ID Line : @siamturakij และ ฝ่ายโฆษณา siamturakijadvertising@gmail.com
© 2013 สยามธุรกิจ