ถอดรหัส "บีอาร์เอ็น" บนโต๊ะเจรจาดับไฟใต้

วันพฤหัสบดีที่ 20 มิถุนายน พ.ศ. 2556

ถอดรหัส


ระหว่างทางที่รัฐบาล "ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร" เจรจากับแกนนำกลุ่ม "บีอาร์เอ็น โคออดิเนท" ที่ตลอดรายทางการจับเข่าคุยของทั้ง 2 ฝ่าย ยังมีเสียงปืนแตกที่สุดเขตด้ามขวานทอง

จากสภาวะคุยไปยิงไประหว่างรัฐบาล กับบีอาร์เอ็น ได้บังเกิดข้อคิดเห็นในทางคู่ขนานจากวงเสวนาในหัวข้อ "ถอดรหัสบีอาร์เอ็นกับอนาคตการพูดคุยสันติภาพ" ของนักคิดนักปฏิบัติที่เกาะติดกับปัญหาความไม่สงบใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ อย่างใกล้ชิด โดยประเด็นหลักในวงเสวนา ประกอบด้วยบทบาทพัฒนาการและข้อเรียกร้องของบีอาร์เอ็นกับข้อเสนอแนะต่อ รัฐบาลไทยในการพูดคุยเจรจา อันทอด ยอดเป็นข้อเสนอแนะที่น่าสนใจยิ่ง

+ แนวรบประชาชาติแนวคิดสุดโต่ง

"สุนัย ผาสุก" ผู้แทนฮิวแมนไรท์ วอทช์ประเทศไทย ถ่ายทอดมุมมองในมิติของบีอาร์เอ็นว่า ได้ศึกษาปัญหาในพื้นที่ชายแดนใต้มาหลายปีและมองเห็นองค์กร บีอาร์เอ็นว่ามีตัวตนจริง มีอุดมการณ์การ ก่อเหตุรุนแรงแต่ละครั้งก็ชัดเจนว่ามีจุดมุ่งหมายเพื่อแบ่งแยกดินแดน แต่รัฐบาลไทยทุกยุคทุกสมัยไม่เคยยอมรับ กระทั่งมี การลงนามในข้อตกลงริเริ่มกระบวนการพูดคุยสันติภาพเมื่อ 28 ก.พ.2556 ซึ่งถือเป็นครั้งแรกที่รัฐบาลไทยยอมรับว่ามีขบวน การแบ่งแยกดินแดนและบีอาร์เอ็นเป็นร่ม ใหญ่ของหลายกลุ่มที่ต่อสู้เพื่อแยกดินแดน จากรัฐไทย

อย่างไรก็ดี สิ่งที่น่ากังวลก็คือ "ธงใหม่" หรือ "ธงเสริม" ของขบวนการต่อสู้ในระยะหลัง มีแนวคิดสุดโต่งมากขึ้นและไม่ใช่การต่อสู้ระหว่างบีอาร์เอ็นกับรัฐแต่เป็นการต่อสู้ระหว่าง "ประชาชาติ" กับ "ประชาชาติ" นั่นจะเห็นได้จากแถลง-การณ์ของบีอาร์เอ็นที่อ้างว่า ตัวเองเป็นตัวแทนของชาวปาตานีหรือชนชาติมลายูปาตานีซึ่งเท่ากับเป็นการประกาศความชอบธรรมในการทำร้ายชนเชื้อชาติอื่นรวมถึงการทำร้ายเป้าหมายพลเรือน

สถานการณ์ที่ชายแดนใต้เป็นการขัดกันด้วยอาวุธภายในประเทศหรือ "armed conflict" อยู่แล้ว สามารถใช้กฎหมายระหว่างประเทศมาบังคับใช้ได้ และที่ผ่านมายังมีการทำร้ายเป้าหมายพลเรือน ไม่ว่าจะเป็นครู เด็ก พระ โต๊ะอิหม่าม ผู้หญิงจึงเข้าข่าย "อาชญากรรมสงคราม" ด้วยมีผลในทางกฎหมายระหว่างประเทศอย่างร้ายแรงมาก ฉะนั้น บีอาร์เอ็นจะอ้าง ความชอบธรรมในการต่อสู้โดยที่อีกด้านหนึ่งก็ก่ออาชญากรรมไปด้วยไม่ได้

+ ก้าวข้าม "single command"

อีกคำถามหนึ่งที่ถามกันค่อนข้างมากคือกำลังคุยกับตัวจริงหรือไม่ คำตอบ ก็คือบีอาร์เอ็นเป็นร่มใหญ่ของขบวนการต่อสู้กับรัฐไทยจริง ขณะที่ "ฮัสซัน ตอยิบ" ผู้ที่ลงนามในข้อตกลงริเริ่มกระบวนการพูดคุยสันติภาพกับ "พล.ท.ภราดร พัฒนถาบุตร" เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) ถูกระบุว่าเป็นเจ้าหน้าที่ประ- สานงาน ตัวของ "ฮัสซัน" ก็ไม่เคยบอกว่าเป็นแกนนำบีอาร์เอ็น ฉะนั้น "ฮัสซัน" ก็คือคนส่งสารหรือคนเดินสารระหว่างโต๊ะ พูดคุยเจรจากับสภาองค์กรนำหรือที่เรียก ว่าดีพีพี

ส่วนโครงสร้างภายในของบีอาร์เอ็น เข้าใจว่าก้าวข้ามการเป็น "single command" หรือมีผู้นำสั่งการเพียงคนเดียวมานานแล้ว และถึงวันนี้ก็ค่อนข้างชัดเจน ว่าไม่มีใครที่สั่งการได้ทุกกลุ่ม หรือมีใครคน ใดคนหนึ่งเพียงคนเดียวที่ได้รับการยอม รับจากทุกกลุ่มในขบวนการ แม้แต่ตัวแทน ที่นั่งในสภาองค์กรนำก็น่าจะมีหลายกลุ่มหลาย ขั้วหลายแนวคิด และยังมีพวกสุดโต่ง ต้อง การเอกราชอย่างเดียวอีก

ด้วยเหตุนี้ จึงต้องบอกว่า ความคาด หวังของสังคมไทยต่อการพูดคุยเจรจานั้น จะต้องเข้าใจสภาพภายในและโครงสร้างของบีอาร์เอ็นด้วย และต้องตระหนักว่า ไม่มีทางที่สันติภาพจะเกิดขึ้นเพียงชั่วข้าม คืน ความสัมพันธ์ระหว่างสภาองค์กร นำคนที่ไปร่วมโต๊ะเจรจาและบรรดา "จูแว" หรือนักรบที่อยู่ในพื้นที่สามารถเชื่อมโยงสั่งการกันได้จริงหรืออย่างน้อยระหว่างคน ที่เป็นระดับแกนนำก็ไม่เคยสั่งการกองกำลังในพื้นที่ แต่เป็นแค่การชี้แนะ ส่วนในพื้นที่จะปฏิบัติตาม 100% หรือไม่เป็นอีกเรื่องหนึ่ง

ข้อเรียกร้องจากรัฐไทยที่ให้หยุดทำ ร้ายพลเรือน ซึ่งเรียกร้องตั้งแต่การพูดคุย ครั้งแรกๆ คนที่นั่งคุยด้วยอาจจะรับฟัง แต่ การสั่งการสั่งแล้วกองกำลังในพื้นที่ฟังไหม ต้องเข้าใจว่าบรรดานักรบ "จูแว" ก็ยังคิดว่าตัวเองเป็นต่ออยู่

+ บีอาร์เอ็นถูกบังคับให้ขึ้นโต๊ะเจรจา

อีกประเด็นหนึ่งที่ต้องพิจารณาก็คือบทบาทของมาเลเซียในกระบวนการพูดคุย สันติภาพ เป็นที่ทราบกันดีว่าบีอาร์เอ็นที่ร่วมพูดคุยไม่ได้เข้าสู่กระบวนการอย่างเต็มใจ แต่ถูกกดดันบีบบังคับจากรัฐบาลมาเลเซีย ฉะนั้น มาเลเซียจึงไม่ใช่ผู้อำนวยความสะดวกในการพูดคุยสันติภาพแต่เป็นคนลากคอบีอาร์เอ็นมาสู่กระบวนการพูดคุย เมื่อเป็นเช่นนี้บีอาร์เอ็นจึงเดิน 2 ทาง ทางหนึ่งก็พูดคุยกับไทยไปเรื่อยๆ เพราะไม่อาจขัดคำสั่งมาเลเซียได้ เนื่องจากยังใช้มาเลเซียเป็นสถานที่พักพิงอยู่ ขณะที่อีกด้านหนึ่งก็เดิน หน้าเรื่องประชาชาติมลายูผ่านทางสภาองค์กรนำและ "จูแว"

คำแถลงของ "ฮัสซัน" ผ่านเว็บไซต์ยูทูบจึงไม่มีอะไรมากไปกว่าการตอกย้ำอุดมการณ์ดั้งเดิมว่า ยังไม่เปลี่ยนแปลงคือ ปลดแอกจากการปกครองของรัฐไทย ซึ่งเขามองว่าเป็นการปกครองของผู้รุกรานของเจ้าอาณานิคม มีการกดขี่ข่มเหงรังแก ซึ่งถ้าจะทำให้ได้รับความเป็นธรรมต้องได้เอกราชเท่านั้น

สรุปว่า การพูดคุยกับกลุ่มบีอาร์เอ็น ครั้งนี้ ถือว่าคุยถูกคน แต่จะประสบความ สำเร็จยากมาก เพราะอุดมการณ์และแนว ทางแตกต่างกันสุดขั้ว ประกอบกับโครงสร้างของบีอาร์เอ็นเองที่มีวิวัฒนาการไปมาก แตกตัวกันจนไม่รู้ว่ากลุ่มไหนมีอิทธิพล มากกว่ากลุ่มอื่น และยังมีการแพร่ขยายแนวคิดสุดโต่งมากขึ้นด้วย นี่คือโจทย์ข้อยากของการพูดคุยเจรจาแต่เมื่อเปิดเวทีขึ้นมาแล้วก็ต้องเดินต่อไปเพราะเป็นแนว ทางที่ดีที่สุด

+ แนะคุยทุกระดับ-ส่งสัญญาณให้ชัด

"ผศ.ดร.ศรีสมภพ จิตร์ภิรมย์ศรี" ผู้อำนวยการศูนย์เฝ้าระวังสถานการณ์ภาค ใต้ หนึ่งในคณะพูดคุยเจรจาฝ่ายรัฐบาลไทย กล่าวเสริมว่า กลุ่มคนที่มาคุยด้วย (บี อาร์เอ็น) อ้างว่าเป็นตัวแทนของสภาองค์-กรนำ แต่จะมีการประสานกับกองกำลังในพื้นที่ได้หรือไม่ยังไม่เห็น แต่ยอมรับว่า บีอาร์เอ็นมีกลไกการประสานงานที่มีเครือ ข่าย มีประสิทธิภาพ แม้จะไร้ศูนย์กลางชัดเจนก็ตาม

"พล.อ.สำเร็จ ศรีหร่าย" ที่ปรึกษาพิเศษสำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม หนึ่งในคณะพูดคุยเจรจาฝ่ายรัฐบาลไทยและเป็นผู้ที่ศึกษาโครงสร้างของบีอาร์เอ็น มาหลายปี กล่าวว่า คนในขบวนการบีอาร์เอ็นมีอุดมการณ์ต่อต้านรัฐ กลุ่มที่อยู่ระดับบนมีลักษณะเป็นนักคิดนักปฏิวัติ ส่วนอาร์เคเค (กลุ่มติดอาวุธที่จัดกำลังเป็นหน่วย รบขนาดเล็ก) ส่วนใหญ่ไม่รู้จักบีอาร์เอ็น แต่ เชื่อว่าการก่อเหตุรุนแรงแล้วได้บุญ จึงเป็น เงื่อนไขทางศาสนา ฉะนั้น หากจะคุยกับระดับบนต้องคุยเรื่องปฏิวัติแต่ถ้าคุยกับระดับล่าง (อาร์เคเค/แนวร่วม) ต้องคุยเรื่อง ศาสนา แต่ต้องให้คนมลายูมุสลิมไปคุย มิฉะนั้นจะไม่ได้รับความเชื่อถือ ซึ่งการเจรจาต้องทำกับทุกกลุ่มและแก้ปัญหาทุกส่วนไปพร้อมๆ กัน

"อัฮหมัดสมบูรณ์ บัวหลวง" นักวิชาการสันติวิธีอดีตกรรมการอิสระเพื่อความสมานฉันท์แห่งชาติหรือ กอส. กล่าว ว่า เคยพูดคุยกับผู้เห็นต่างจากรัฐหลายกลุ่ม เห็นว่ารัฐไทยยังทำเล่นๆ ไม่จริงจัง ถ้ารัฐบาลเดินหน้าเรื่องการพูดคุยเจรจาอย่างเข้มแข็ง จะเป็นการส่งสัญญาณถึงกลุ่มติดอาวุธบางกลุ่มในพื้นที่ได้ทันที ขณะ ที่อีกด้านหนึ่งคือ บีอาร์เอ็นจะเห็นได้ว่ามีโรดแมปการเจรจาชัดเจนมีก๊อก 1 ก๊อก 2 ก๊อก 3 เมื่อเสนอข้อเรียกร้องผ่านโต๊ะเจรจา แล้วไม่ได้รับการสนองตอบ ก็เสนอข้อเรียก ร้องผ่านยูทูบ หลังจากนี้ก็ต้องดูว่าจะทำอย่างไรต่อไปอีก

การที่บางหน่วยงานในพื้นที่ไปเปิดเวทีรับฟังความคิดเห็นจากประชาชนรายวัน เพื่อไปขอคำตอบจากประชาชนว่าเอา หรือไม่เอากับข้อเรียกร้องของบีอาร์เอ็นนั้น ถามว่าจะทำไปทำไม เพราะไม่เป็นผลดีกับ กระบวนการสันติภาพ อีกเรื่องหนึ่งที่รัฐไทยควรทำแต่ไม่ทำคือเรื่องประวัติศาสตร์ ทั้งๆ ที่เรื่องประวัติศาสตร์นี้ ไม่ว่าจะพูดที่ไหนเมื่อไร ก็สามารถปลุกได้ทันที แต่รัฐไทยกลับปกปิดบิดเบือนประวัติศาสตร์และไม่ยอมหยิบยกขึ้นมาพูดเลย

+ ไร้บทสรุปแบบ "วิน วิน"

"พ.อ.ดร.ธีรนันท์ นันทขว้าง" นักวิชาการด้านความมั่นคง ระบุว่า ที่ผ่านมา ทุกฝ่ายสนใจแค่กลุ่มติดอาวุธแต่สิ่งที่ไม่เคยสนใจกันเลย คือการเรียกร้องที่ไม่ใช้อาวุธ ซึ่งการเรียกร้องในสังคมที่มีพลังเพียงพอ ก็ นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงได้เหมือนกัน ทั้งปฏิวัติ (เปลี่ยนแปลงระบบการปกครอง) และ ปฏิรูป (เปลี่ยนแปลงระบบการบริหาร ต่างๆ) ขณะที่การติดอาวุธเป็นแค่การสร้าง เงื่อนไข ให้เกิดการเรียกร้องในลำดับต่อมาเท่านั้น

ตั้งแต่ปี 2547 รัฐบาลไม่เคยมีความ ชัดเจนว่าจะเอาอย่างไรกับภาคใต้ ได้แต่ส่งทหารลงไปยันสถานการณ์เอาไว้เท่านั้น เรามองปัญหาการติดอาวุธเป็นเรื่องสำคัญ แต่ไม่ได้ไปดูการใส่ชุดความคิดบางอย่างแก่เยาวชนในพื้นที่เลย และเยาวชนที่มีชุด ความคิดดังกล่าวนี้ก็เคลื่อนไหวทั้งในและนอกประเทศ

การเจรจาเป็นการเปิดประตูที่ดีเพราะ ทุกความขัดแย้งจบลงด้วยการเจรจา แต่ครั้งนี้เชื่อว่าไม่มีบทสรุปแบบ "วิน วิน" แต่ผลจะออกมาอย่างไรขึ้นกับบทบาทของรัฐไทยซึ่งเป็นเรื่องที่ต้องรอพิสูจน์ ส่วนแนว ทางการแก้ไขปัญหาด้วยการตั้งเขตปกครอง พิเศษหรือข้อเสนอสำเร็จรูปอื่นๆ นั้น เป็น เรื่องของคนเสียงดังพูด เช่นนักวิชาการบางคนหรือนักการเมืองท้องถิ่นบางกลุ่ม แต่เชื่อว่าชาวบ้านสนใจเรื่องนี้น้อยมาก เพราะประชาชนสนใจเรื่องคุณภาพชีวิตมากกว่า

ข้อเสนอพวกนี้ไปไกลเนื่องจากคนบางคนมีชุดความคิดรออยู่แล้ว อาจจะเพราะมองเห็นประโยชน์จากสิ่งที่จะเกิดขึ้น จึงวาดภาพเบ็ดเสร็จแทนคนที่เหลือ ทั้งๆ ที่ควรทำวิจัยในแบบที่ได้รับการยอมรับเสีย ก่อนว่าประชาชนในพื้นที่จริงๆ แล้วต้อง การอะไรแน่ถ้าไม่ทำก็จะเป็นช่องทางให้คนเสียงดังพูดต่อไป

ทุกมิติแห่งความเห็นในวงเสวนารอบนี้ ล้วนสะท้อนให้เห็นแนวทางการเจรจาระหว่างรัฐไทยกับบีอาร์เอ็นในการร่วมกันดับไฟใต้ แต่การที่ทั้ง 2 ฝ่ายจะสามารถนำไปใช้ร่วมกันอย่าง "วิน วิน" มันจำเป็นอย่างยิ่งยวดว่าบทสรุปสุดท้าย มันต้องไม่ไปทำลายความเชื่อและความศรัทธาซึ่งกันและกัน..

นั่นจึงจะเป็นบทสรุปที่ก่อให้เกิดสันติภาพใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้อย่างยั่งยืนตลอดกาล..


บริษัท สมาร์ท โกลด์ มีเดีย กรุ๊ป จำกัด SMART GOLD MEDIA GROUP CO.,LTD. ติดต่อสอบถาม โทร : 0893284192 , ID Line : @siamturakij และ ฝ่ายโฆษณา siamturakijadvertising@gmail.com
© 2013 สยามธุรกิจ