ปี 2566 นี้ นับเป็นปีที่น่าจับตามองอย่างมากของไทยหลังจากฟื้นตัวจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 โดยเฉพาะตลาดการท่องเที่ยวที่ประเทศไทยมีทิศทางที่ดีและขยายตัวเกินกว่าที่คาดไว้มาก นอกจากนี้อุตสาหกรรมท่องเที่ยวเชิงการแพทย์ของไทยติดอันดับ 5 ของโลก จากการจัดอันดับของ Medical Tourism Association ในปี 2564 อีกทั้งในปี 2563 สมาคมศัลยแพทย์ตกแต่งเสริมสวยนานาชาติ ยังยกย่องให้ไทยเป็นประเทศที่มีชื่อเสียงด้านศัลยกรรมติดเป็นอันดับที่ 14 ของโลก และมีจำนวนผู้เข้ารับบริการเป็นชาวต่างชาติมากเป็นอันดับที่ 4 ของโลก เหล่านี้เป็นเครื่องยืนยันถึงความมีชื่อเสียงด้านศัลยกรรมความงามของแพทย์ไทยที่มีฝีมือดี ประกอบกับมีราคาค่าใช้จ่ายถูกกว่าประเทศอื่นที่เป็นคู่แข่ง ประกอบกับภาครัฐมีนโยบายเห็นชอบที่จะผลักดันให้ประเทศไทยก้าวไปสู่การเป็นศูนย์กลางการแพทย์และสุขภาพในระดับโลก (Medical Hub) สิ่งนี้จึงเป็นอีกหนึ่งฟันเฟืองสำคัญของการช่วยขับเคลื่อนระบบเศรษฐกิจประเทศและคนในสังคมให้มีรายได้เพิ่มมากขึ้น
ขณะเดียวกัน หลังสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 คลี่คลายลงและ ไทยเปิดประเทศอย่างเต็มที่ นักท่องเที่ยวที่เดินทางเข้ามามีจำนวนเพิ่มมากขึ้นอย่างทวีคูณ ไม่ว่าจะเป็นนักท่องเที่ยวชาวจีน พม่า มาเลเซีย นั่นเป็นเพราะ ประเทศไทยเป็นประเทศอันดับต้น ๆ ที่นักท่องเที่ยวคิดถึงและนิยมเดินทางเข้ามาท่องเที่ยวกันมาก เมื่อดูจากข้อมูลอ้างอิงเกี่ยวกับนักท่องเที่ยวของการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยแล้วพบว่าไตรมาสแรกที่ผ่านมา มีนักท่องเที่ยวชาวจีนเข้ามาในประเทศไทยแล้ว 3 แสนคน คิดเป็นจำนวนเที่ยวบิน 2,000 เที่ยวบิน จำนวนที่นั่ง 445,655 ที่นั่ง สิ่งเหล่านี้เป็นตัวสะท้อนสัญญาณให้เห็นว่าภาคการท่องเที่ยวไทยเริ่มเดินหน้าฟื้นตัวแล้ว
ประกอบกับปัจจุบันจะพบว่าโครงสร้างประชากรของคนไทย และคนทั่วโลก มีการปรับโหมดใหม่มาสู่การเป็นสังคมผู้สูงวัย พฤติกรรมของคนกลุ่มนี้ไม่ว่าจะเป็นผู้ชาย ผู้หญิง อายุตั้งแต่ 60 ปี จะเริ่มนำเงินที่ตนเองสั่งสมมาจับจ่ายใช้สอยเกี่ยวกับเรื่องศัลยกรรมความงาม เช่น การผ่าตัดดึงหน้าที่หย่อนคล้อยให้ตึง การปลูกผมบนศรีษะ เพิ่มมากขึ้น บวกกับเป็นยุคที่มีนวัตกรรมเครื่องมือใหม่ ๆ มาช่วยให้เรื่องของทำศัลยกรรมเจ็บตัวน้อยลงก็ยิ่งทวีคูณจำนวนผู้บริโภคตั้งแต่วัยทีน วัยทำงาน วัยเกษียณ ให้หันมาใช้บริการศัลยกรรมความงามมากขึ้น
จากภาพรวมดังกล่าว นายแพทย์ สุทธิพงษ์ ตรีรัตน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร รัตตินันท์ เมดิคอล เซ็นเตอร์ ซึ่งเป็นหนึ่งในศูนย์การแพทย์ชั้นนำด้านความงามที่มีความเชี่ยวชาญการรักษาและมีชื่อเสียงระดับเอเชียแปซิฟิกของไทยมานานกว่า 24 ปี เปิดเผยว่า “สิ่งเหล่านี้จะทำให้อุตสาหกรรมด้านศัลยกรรมความงามกลายเป็นเค้กก้อนโตมหึมาที่มีสีสันชวนดึงดูดใจให้กลุ่มนักท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ นักลงทุนทั้งในและต่างประเทศต่างขนนโยบาย กลยุทธ์การตลาดเข้ามาลงทุนเปิดธุรกิจในอุตสาหกรรมดังกล่าวมากขึ้น แต่จะเป็นการลงทุนในลักษณะที่เปิดเป็นโรงพยาบาลศัลยกรรมเฉพาะทางขนาดไม่เกิน 30 เตียง มากกว่า เช่น โรงพยาบาลสำหรับผ่าตัดเปลี่ยนกระดูก เพราะนี้คือเทรนด์ของตลาดโลกที่ปัจจุบันในต่างประเทศเริ่มมีโรงพยาบาลที่เป็นศัลยกรรมเฉพาะทางมากขึ้นแล้ว”
นายแพทย์ สุทธิพงษ์ กล่าวว่า ขณะที่ประเทศไทย ในอนาคตอีก 5 ปีข้างหน้า จะมีโรงพยาบาลศัลยกรรมเฉพาะทางใหม่ ๆ เปิดตัวไม่ต่ำกว่า 20 แห่ง ซึ่งจะทำให้เกิดการแย่งชิงส่วนแบ่งตลาดในกลุ่มที่เป็นคลินิกด้านศัลยกรรมและความงาม ดังนั้น รัตตินันท์ เมดิคอล เซ็นเตอร์ ได้วางแผนที่จะทรานส์ฟอร์มตนเองไปสู่การเป็น Wellness Destination โรงพยาบาลนวัตกรรมเพื่อความงามและการรักษาแบบครบวงจร ในปี 2567 ที่มีการยกระดับให้เป็นโรงพยาบาลศัลยกรรมเฉพาะทางขนาดไม่เกิน 30 เตียง ปัจจุบันได้ลงทุนก่อสร้างแล้วบนพื้นที่ 3,300 ตารางเมตร ซึ่งเป็นพื้นที่ส่วนหนึ่งของโครงการ Town Hall 49 บนถนนสุขุมวิท 49 ที่รายล้อมไปด้วย Community Mall, Marriott ‘s Executive Apartment และ Wellness Hospital เพื่อรองรับกลุ่มตลาดระดับบนที่เป็นนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติและคนไทยที่ต้องการเข้ามาใช้บริการเสริมความงามต่าง ๆ ประกอบกับเป็นการรองรับตลาดศัลยกรรมความงามที่มีแนวโน้มขยายตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องทั่วโลก รวมถึงตลาดเสริมความงามของไทยตั้งแต่ปี 2563 ก็มีอัตราเติบโตเฉลี่ยปีละ 16.6%
ดังนั้น นี่จึงเป็นช่วงจังหวะที่ดีของรัตตินันท์ เมดิคอล เซ็นเตอร์ ที่จะปักยุทธศาสตร์การลงทุนในส่วนของการเปิดเป็นโรงพยาบาลนวัตกรรมเพื่อความงามและการรักษาแบบครบวงจร ปัจจุบัน รัตตินันท์ เมดิคอล เซ็นเตอร์ เป็นศูนย์การแพทย์ชั้นนำด้านความงามที่มีความเชี่ยวชาญการรักษาและมีชื่อเสียงระดับเอเชียแปซิฟิกของไทยมานานกว่า 24 ปี และมีความเชี่ยวชาญในเรื่องของ Body Contouring โดยเฉพาะไม่ว่าจะเป็นดูดไขมัน การตัดกระเพาะลดน้ำหนัก ใส่บอลลูนกระเพาะ เย็บกระเพาะ การผ่าตัดเสริมหน้าอกหรือตัดหน้าอก เป็นต้น รวมถึงจะมีการลงทุนในการนำเข้านวัตกรรมเครื่องมือแพทย์ใหม่ ๆ เข้ามามากขึ้น เช่น Robot สำหรับผ่าตัดกระเพาะ เป็นต้น
อย่างไรก็ดี การที่จะทรานส์ฟอร์มไปสู่การเป็น Wellness Destination โรงพยาบาลนวัตกรรมเพื่อความงามและการรักษาแบบครบวงจร ในปี 2567 จำเป็นต้องวางแผนกลยุทธ์ในเรื่องของการระดมเงินทุน
โดยนายแพทย์ สุทธิพงษ์ กล่าวว่า “ขณะนี้ได้เข้าไปเจรจากับโรงพยาบาลและกองทุนหลาย ๆ แห่งในลักษณะเป็น Strategic Partner ด้วยกัน ซึ่งคาดว่าจะสรุปผลการเจรจาแล้วเสร็จภายในไตรมาส 3 หรือ ไตรมาส 4 ก่อนจะลงมือก่อสร้างโรงพยาบาลในไตรมาส 1 ของปี 2567 และ อนาคตข้างหน้าอีก 2-3 ปี ก็จะมีการเปิดขายหุ้น IPO (Initial Public Offering) ให้กับประชาชน เพื่อจะสามารถเข้าไปจดทะเบียนซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ MAI เป็นครั้งแรกด้วย”
นอกจากนี้ยังวางแผนใช้กลยุทธ์ Single Location ที่เป็น Excellent Center เช่นเดียวกับโรงพยาบาลเอกชนชั้นนำ เพราะธุรกิจศัลยกรรมเป็นธุรกิจที่ผู้บริโภคมองหาทีมแพทย์เฉพาะทางที่มีฝีมือและมีความเชี่ยวชาญสูง โดยเฉพาะศัลยกรรมเฉพาะกลุ่มที่เป็น Body จำเป็นต้องใช้อุปกรณ์เฉพาะทาง ถ้าไม่มีใบอนุญาตก็ไม่สามารถทำการผ่าตัดได้ ที่ผ่านมา ขณะที่ธุรกิจเสริมความงามประเภทให้บริการฉีดโบท็อกซ์ ฟิลเลอร์ กำจัดขน จะมุ่งเน้นกลยุทธ์ขยายสาขาเพื่อให้เข้าถึงผู้บริโภคมากที่สุด
สำหรับเทรนด์ธุรกิจความงามและศัลยกรรมในปี 2566 จะเติบโตทั้งในกลุ่ม Facial Surgery การทำตา จมูก โครงหน้า กราม และ กลุ่ม Body ขณะที่ Facial Surgery จะเป็นกลุ่มที่มีการแข่งขันรุนแรงมากกว่า เนื่องจากมีทีมแพทย์ออกมาเปิดคลีนิกด้านความงามใหม่ ๆ มากขึ้น แตกต่างจากกลุ่ม Body ต้องอาศัยความชำนาญและอุปกรณ์เฉพาะทาง ถ้าไม่มีใบอนุญาตก็สามารถดำเนินธุรกิจได้ จึงเป็นกลุ่มที่มีการแข่งขันไม่ดุเดือดเท่ากลุ่ม Facial Surgery
อย่างไรก็ดี ปี 2565 ที่ผ่านมา รัตตินันท์ เมดิคอล เซ็นเตอร์ มีอัตราการเติบโต 60 % สูงกว่าทุก ๆ ปี ของการดำเนินธุรกิจที่เติบโตต่อปีละ 15 % สาเหตุมาจากจำนวนประชากรภายในประเทศเพิ่มขึ้นถึง 70 ล้านคน ประกอบกับการเข้ามามากขึ้นของลูกค้าต่างประเทศในภูมิภาคเอเชีย เช่น จีน พม่า สิงค์โปร์ อินโดนีเซีย ดังนั้นในปี 2566 คาดว่าจะมีอัตราการเติบโต 25-30 % คิดเป็นสัดส่วนชาวต่างชาติที่จะเดินทางเข้ามาใช้บริการมากถึง 1 ใน 3 หรือคิดเป็น 33 %