นายพิพัฒพงศ์ อิศรเสนา ณ อยุธยา กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ดอยคำผลิตภัณฑ์อาหาร จำกัด กล่าวว่า “ดอยคำ” เป็นผู้นำอันดับหนึ่งตลาดน้ำผลไม้ประเภท Premium และ Medium มุ่งผลิตสินค้าที่ตอบสนองผู้บริโภคที่ต้องการความสดชื่นและคุณประโยชน์ด้วยผลิตภัณฑ์น้ำผลไม้ที่หลากหลาย อีกทั้งยังเป็นองค์กรที่ดำเนินธุรกิจเพื่อสังคม ที่มีพันธกิจหลักขององค์กรในการส่งเสริมและรับซื้อผลผลิตของเกษตรกรไทย นำมาแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ต่างๆ เช่น น้ำมะเขือเทศ น้ำเสาวรส น้ำมะม่วง น้ำลิ้นจี่ น้ำสตรอเบอร์รี น้ำฝรั่ง และสินค้าประเภทอื่น ๆ อีกมากกว่า 200 รายการ โดยปัจจุบัน “ดอยคำ” ยังคงเป็นผู้นำอันดับหนึ่งในตลาดน้ำผลไม้ระดับ Premium โดยเฉพาะน้ำมะเขือเทศ ที่เราถือได้ว่าเป็น “King of Tomato” ที่อยู่ในใจผู้บริโภคมาโดยตลอด และในวิกฤติโควิด-19 ที่ผ่านมาหลายธุรกิจหดตัวลง รวมไปถึงธุรกิจน้ำผลไม้ แต่ "ธุรกิจไอศกรีม" ในประเทศไทยกลับยังดำเนินต่อไปได้แถมมีโอกาสเติบโตขึ้นอีกด้วย โดยปีที่ผ่านมามีมูลค่าตลาดกว่า 15,000 ล้านบาท (ข้อมูลจาก บริษัท โกลเบิล ดาต้า จำกัด) ยังคงมีอัตราการเติบโตอย่างต่อเนื่อง ซึ่งประเทศไทยยังเป็นประเทศที่ส่งออกสินค้าประเภทไอศกรีม เป็นอันดับ 4 ของโลก
ดังนั้น ในปีนี้เพื่อเป็นการเพิ่มทางเลือกให้กับผู้บริโภค และขยายโครงการรับซื้อผลผลิตจากเกษตรกรที่เพิ่มมากขึ้น ดอยคำ บริษัทจึงได้ออกผลิตภัณฑ์ใหม่ “ICE POP” ที่มาในรูปแบบไอศกรีมจากน้ำผลไม้แท้ พร้อมแพคเกจรูปแบบใหม่ ไม่ซ้ำใคร วางจำหน่ายบนชั้นสินค้าน้ำผลไม้ในอุณหภูมิห้อง เป็นแบรนด์น้ำผลไม้เจ้าแรกของโลก และเจ้าเดียวในไทย ด้วยนวัตกรรมการผลิต เครื่องบรรจุและบรรจุภัณฑ์รุ่นTetra Fino® Aseptic ที่ช่วยรักษาอุณหภูมิสินค้าโดยไม่ใช้วัตถุกันเสีย ไม่จำเป็นต้องเก็บรักษาหรือขนส่งสินค้าด้วยการแช่เย็นเทคโนโลยีระบบปลอดเชื้อมาตรฐานโลกจากเต็ดตรา แพ้ค “ICE POP” มาพร้อมสโลแกน “FREEZE ความสุข POP ความสดชื่น” กับ 3 รสชาติ ที่สดชื่น อร่อยลงตัว ได้แก่ “บ๊วยไม่บ๊วย” (เครื่องดื่มหวานเย็นบ๊วยผสมน้ำผึ้งและมะนาว) “สตรอว์เบอร์รีทูนหัว” (เครื่องดื่มหวานเย็นสตรอว์เบอร์รี) รสชาติของ “สตรอว์เบอร์รี” สายพันธุ์พระราชทาน 80 และ “มะม่วงฮักเสาวรส” (เครื่องดื่มหวานเย็นมะม่วงผสมเสาวรส) วิธีรับประทานเพียงแค่ “แช่ ฉีก ป๊อป” แช่ฟรีซ ในช่องทำน้ำแข็ง ฉีกซองพร้อมรับความอร่อย ป๊อปความสุขได้ทุกช่วงเวลาที่ต้องการความสดชื่น มาในรูปแบบซอง ขนาด 85 มล. ราคาซองละ 20 บาท และรูปแบบกล่อง บรรจุ 6 ซอง ราคากล่องละ 120 บาท
สำหรับ ICE POP มุ่งเจาะกลุ่มเป้าหมายหลัก ได้แก่ เจเนเรชั่นวาย (Gen Y) และเจเนเรชั่นซี (Gen Z) และกลุ่มเป้าหมายรอง ได้แก่ กลุ่มที่มีอายุ 26 ปี ขึ้นไป ซึ่งเป็นผู้ปกครองรุ่นใหม่ที่ใส่ใจกับเรื่องอาหารและโภชนาการของลูกและวัยทำงานที่มองหาสินค้าสำหรับคนในครอบครัว ทั้งเด็กและผู้สูงอายุที่บ้านและต้องการให้รางวัลกับตัวเอง ด้วยการมองหาของกินเล่นมาช่วยเติมเต็มความสุขระหว่างวัน พร้อมระเบิดความ POP กับ แคมเปญแบบ Online to Offline ด้วยวิธีการสื่อสารแบบ 360 องศา ผ่านแคมเปญสื่อสารการตลาดบนนอกบ้าน (Out of Home Media) สื่อเคลื่อนที่ (Moving Ads) สื่อสังคมออนไลน์ (Social Media) และภาพยนตร์โฆษณาชุด “ใดๆ ในโลกล้วนป๊อป” จำนวน 3 เรื่อง เป็นต้น
“ICE POP” เป็นเพียงจุดเริ่มต้นในการรุกเข้าสู่ตลาดไอศกรีม ซึ่งมีจุดขายแตกต่างจากไอศกรีมทั่วไป โดยผลิตจากผลไม้แท้จากเกษตรกรไทย บรรจุในแพคเกจจิ้งรูปแบบใหม่ รักษ์โลก และอีกหนึ่งจุดขายที่สำคัญ คือ สามารถจัดเก็บได้ในอุณหภูมิห้อง ทั้งนี้ คาดว่าผลิตภัณฑ์ ICE POP จะได้รับการตอบรับจากตลาดเป็นอย่างดี บริษัทฯ ตั้งเป้ายอดขายในปีแรกกว่า 50 ล้านบาทหรือกว่า 30 ล้านชิ้น ในอนาคตคาดว่า “ICE POP” จะกระโดดไปบุกตลาดต่างประเทศที่ต้องการผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพและมีความแตกต่างในตลาดอย่างต่อเนื่อง โดยตั้งเป้าหมายว่าภายใน 7 ปีข้างหน้า จะทำยอดขายได้ถึง 600-700 ล้านบาท ซึ่งอันนี้รวมถึงตลาดส่งออกด้วย”
ด้าน ชนันนาถ ผลประที รองประธานเจ้าหน้าที่บริหารฝ่ายขายและการตลาด บริษัท กล่าวว่า มูลค่าตลาดน้ำผลไม้ระดับกลางถึงพรีเมี่ยมในประเทศไทยยังคงลดลงเฉลี่ย 5-10% ต่อปี มูลค่าตลาดน้ำผลไม้ระดับกลางถึงพรีเมียมของไทยมีมูลค่า 4.5 พันล้านบาทในปี 2565 จากกว่า 1 หมื่นล้านบาทในทศวรรษที่ผ่านมา ตลาดมีแนวโน้มลดลงอย่างต่อเนื่องเนื่องจากผู้บริโภคมีตัวเลือกเครื่องดื่มมากมายในตลาดโดยเฉพาะเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพที่มีรูปแบบและรสชาติที่แตกต่างกันด้วยความพร้อมด้านวัตถุดิบและทดสอบตลาดโดยร่วมมือกับไอศกรีมวอลล์เมื่อ 2 ปีที่แล้ว ผลิตภัณฑ์ที่ร่วมทำได้รับการต้อนรับอย่างอบอุ่นจากลูกค้าชาวไทย บริษัทจึงตัดสินใจทำขึ้นเองในปีนี้
สำหรับผลิตภัณฑ์ใหม่ “ICE POP” รูปแบบไอศกรีมจากน้ำผลไม้แท้เราได้ทำการวางสู่ตลาดไปแล้ว 3 รสเมื่อกลางเดือนที่ผ่านมา โดยสร้างความแตกต่างจากไอศกรีมยี่ห้ออื่น ผลิตจากผลไม้แท้ที่โรงงานแม่จัน เชียงราย ด้วยบรรจุภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม บริษัทมีแผนจะเพิ่มผลิตภัณฑ์ใหม่ในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ โดยปัจจุบันไอศกรีมดอยคำมีจำหน่ายที่ร้านดอยคำเองกว่า 30 ร้าน และแฟรนไชส์ 14 แห่ง รวมถึงร้านค้าปลีกสมัยใหม่หลายแห่ง เช่น ท็อปส์ โลตัส บิ๊กซี และแม็คโคร จะวางจำหน่ายที่ร้านสะดวกซื้อ 7-Eleven ในเดือนหน้า อีกทั้ง ปีนี้บริษัทเตรียมจะส่งออกไอศกรีมดอยคำไปต่างประเทศ อาทิ จีน เกาหลี และเวียดนาม เป็นต้น
นอกจากนี้ยังมีแผนจะขยายธุรกิจไปยังช่องทาง B2B เช่น HoReCa (โรงแรม ร้านอาหาร และจัดเลี้ยง) และกำลังศึกษาความเป็นไปได้ในการเปิดตัวแบรนด์น้องสำหรับผลิตภัณฑ์ใหม่ที่เข้าถึงทุกไลฟ์สไตล์ของลูกค้าบริษัทคาดว่ายอดขายในปีนี้จะสูงถึง 2.2 พันล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีที่แล้วที่ 2.06 พันล้านบาท