PTG รุกขยายฐาน ธุรกิจ Non-Oil

วันพฤหัสบดีที่ 20 กรกฎาคม พ.ศ. 2566

PTG รุกขยายฐาน ธุรกิจ Non-Oil


PTG เดินหน้าปรับแผนธุรกิจ เล็งขยายพอร์ตน้ำมันอย่างพอเพียง รุกเพิ่มสัดส่วน Non-Oil ให้มากขึ้น โดยเฉพาะ LPG ที่มีอัตรากำไรดีกว่าน้ำมัน รวมทั้งธุรกิจกาแฟพันธุ์ไทยที่เร่งเพิ่มสาขาให้เข้าใกล้เป้าหมายให้ได้มากที่สุด พร้อมเตรียมจับเข่าหารือภาครัฐ แก้ปัญหาค่าการตลาดน้ำมันต่ำ ระบุค่าการตลาดที่เหมาะสมควรอยู่ที่ 1.80-2.00 บาท

นายรังสรรค์ พวงปราง ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท พีทีจี เอ็นเนอยี จำกัด (มหาชน) หรือ PTG เปิดเผยว่า จากมาตรการลดภาษีน้ำมันดีเซล 5 บาทต่อลิตรจะสิ้นสุดลงนั้น ตั้งแต่อยู่ในธุรกิจน้ำมันยังไม่เคยเจอว่าราคาน้ำมันดีดขึ้นทีเดียว 5 บาท หรือภาษีปรับขึ้นทีเดียว 5 บาท อย่างดีก็ทยอยปรับขึ้น 2-3 บาทต่อลิตร ภาครัฐก็จะหาวิธีชดเชยไม่ให้ทุกคนแบกรับ 2-3 บาทไปเลยทันที ซึ่งเชื่อว่าครั้งนี้ก็เหมือนกัน แม้ว่าจะสิ้นสุดระยะเวลาลดภาษีสรรพสามิตดีเซล แต่ก็เชื่อว่าจะปรับขึ้นทีละขั้น แต่เนื่องจากขณะนี้ยังไม่มีรัฐบาล ก็คาดว่า การลดเงินนำส่งกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ขณะที่เพิ่มอัตราภาษีขึ้นไปยังเป็นกลไกที่สามารถนำมาเป็นทางเลือกของภาครัฐที่เป็นไปได้มากที่สุด

อย่างไรก็ตาม ถ้าภาครัฐต้องเก็บภาษีขึ้นมาทันที 5 บาท ลดเก็บเข้ากองทุนฯ 3 บาท แล้วโยนมาให้บริษัทน้ำมันรับ 2 บาท ก็จะมีผลกระทบแน่นอน ทางผู้ค้าก็คงต้องปรับราคาขายปลีกหน้าปั๊มเพื่อให้อยู่ได้ อยู่อย่างขื่นขมไประยะหนึ่ง รอการผ่อนคลาย และถ้าเรากระทบคนอื่นก็กระทบหมด แม้ผู้ค้าบางรายอาจจะมีสัดส่วนการขายเบนซินมากกว่า แต่อย่างไรก็ไม่ถึง 60% โดยดีเซลยังเป็นยอดขายหลักอยู่

ทั้งนี้ บริษัทฯ เตรียมเข้าหารือกับภาครัฐเพื่อร่วมกันแก้ปัญหาค่าการตลาดที่ต่ำกว่าระดับกรอบเป้าหมายของคณะกรรมการบริการนโยบายพลังงาน (กบง.) ที่ 2 บาทต่อลิตร ว่าจะมีแนวทางอย่างไรที่จะทำให้ซัพพลายเชนของธุรกิจนี้ได้รับความยุติธรรมเท่าเทียมกัน เพื่อให้เดินไปด้วยกันได้ทั้งระบบ

"PTG มีส่วนสนับสนุนภาคประชาชนอีกส่วนหนึ่ง ภาครัฐจะสนับสนุนทั้งหมดก็ไม่ได้ เพราะถ้าพยุงทั้งหมดภาระหนี้คงเป็นแสนล้านบาท บางสิ่งบางอย่างให้ภาคเอกชนเข้ามามีบทบาท ให้เขามีระยะให้เล่นได้ ภาคประชาชนไม่เดือดร้อน ซึ่ง PTG ในฐานะผู้ค้าน้ำมันก็คุยกัน แต่จะไปคุยกับภาครัฐด้วยกันหรือไม่เป็นสิทธิของแต่ละค่าย แต่เมื่อสิ่งนี้เป็นสิ่งที่ทำให้เราเดือดร้อน แล้วเราไม่ได้อยู่ตัวคนเดียว มีทั้งเจ้าหนี้ ภาคนักลงทุน ลูกค้า เราต้องดูแล พนักงานก็ต้องดูแลจำนวนมาก เพราะฉะนั้น ต้องเข้าไปพูดคุยว่า Stake Holder แต่ละส่วนควรต้องได้รับอะไรบ้าง" นายรังสรรค์ กล่าว

สำหรับค่าการตลาดที่เหมาะสมควรอยู่ที่ 1.80-2.00 บาท แต่บางช่วงภาครัฐอาจจะปรับการสนับสนุนจากกองทุนน้ำมันไม่ทันกับความผันผวนของราคาน้ำมัน ทำให้ค่าการตลาดไม่เป็นไปตามที่ภาครัฐให้เป้าหมายไว้ ผู้ค้าน้ำมันก็มีหน้าที่ก็ไปคุยกับภาครัฐ ซึ่งการอ่อนตัวของค่าการตลาดส่วนหนึ่งมาจากราคาน้ำมันในตลาดโลกสูง และราคาน้ำมันหน้าสถานีบริการที่ลดลงไปในช่วงก่อนหน้านี้ปรับตัวขึ้นมาไม่ทัน ขณะที่กองทุนน้ำมันฯ อาจจะปรับเปลี่ยนไม่ทันการณ์ ทำให้ค่าการตลาดอ่อนตัวกว่าที่ภาครัฐให้เป้าหมายไว้ ซึ่งทาง PTG พยายามจะเข้าไปพูดคุยกับทางภาครัฐว่าอย่าไปมองด้านใดด้านหนึ่งมากเกินไป แต่ต้องมองภาพในระยะยาว

ทั้งนี้ PTG ดูแลลูกค้าเชิงพาณิย์ค่อนข้างมาก มีสัดส่วนการขายดีเซลเป็นหลัก เนื่องจากมีปั๊มน้ำมันกระจายตัวรองรับทั่วประเทศ โจทย์คือ เราจะบริหารอัตราพวกนี้อย่างไร เพราะผู้ค้ารายอื่นที่มีโรงกลั่นอาจจะได้ประโยชน์จากน้ำมันเจ็ท A1 ที่มีปริมาณการใช้เพิ่มขึ้นมาก ทำให้ภาพรวมราคาก็ขึ้น แต่เราไม่ได้กลั่นน้ำมันเอง ทำให้ไม่ได้รับประโยชน์จากส่วนนี้ การบริหารสัดส่วนผลิตภัณฑ์ของเรามีข้อจำกัด ดังนั้น สิ่งสำคัญของ PTG คือเราพยายามลดพอร์ตน้ำมันลง เพิ่ม non-oil ให้มากขึ้น โดยเฉพาะ LPG ที่มีอัตรากำไรดีกว่าน้ำมัน และธุรกิจกาแฟพันธุ์ไทยที่เร่งเพิ่มสาขาให้เข้าใกล้เข้าหมายให้ได้มากที่สุด

สำหรับผลงานในครึ่งปีแรก สัดส่วนการขาย non-oil เพิ่มสูงขึ้น และปริมาณการขายน้ำมันก็เพิ่มด้วย แม้ว่าตลาดจะเติบโตแค่ 2-3% แต่ยอดขายน้ำมันของ PTG โตได้ 2 หลัก ดังนั้น ในแง่ปริมาณขายไม่มีปัญหา ทำนิวไฮตลอด แต่ค่าการตลาด และการจัดการภาษียังเป็นปัจจัยกดดัน

ในส่วนของการขยายธุรกิจ non-oil ตั้งเป้าขยายสาขากาแฟพันธุ์ไทยภายใน 5 ปี ให้ได้ 4-5 พันสาขา ส่วนสถานีชาร์จ EV ตั้งเป้าขยายสาขาเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ตามการเติบโตของยอดขายรถยนต์ไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้นเช่นกัน

 

 



บริษัท สมาร์ท โกลด์ มีเดีย กรุ๊ป จำกัด SMART GOLD MEDIA GROUP CO.,LTD. ติดต่อสอบถาม โทร : 0893284192 , ID Line : @siamturakij และ ฝ่ายโฆษณา siamturakijadvertising@gmail.com
© 2013 สยามธุรกิจ