ณ ปัจจุบัน จะเห็นได้ว่าผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพ ทั้งในแง่ของอาหาร อาหารเสริม สมุนไพร ตลอดจนกลุ่มสินค้าออร์แกนิคได้เกิดขึ้นอย่างมากมายในท้องตลาด สอดรับกับพฤติกรรมของผู้คนในปัจจุบันที่มีความใส่ใจต่อสุขภาพ คุณภาพชีวิต และความเป็นอยู่ เพื่อดำรงตนให้ห่างไกลจากความเจ็บป่วยมากที่สุด แต่จะรู้ได้อย่างไร ว่าสิ่งที่เราได้หาซื้อมาบริโภคหรือใช้กับร่างกายเรานั้น เป็นสิ่งที่ดีต่อสุขภาพและไร้การปนเปื้อนจริง
ปรินดา ตั้งพิรุฬห์ธรรม ผู้ก่อตั้ง Chama Farm ฉมาฟาร์ม ฟาร์มปลูกสมุนไพร และพันธุ์พืชผักมากกว่า 100 ชนิด ด้วยระบบนิเวศออร์แกนิคในการปลูกแบบ 100% ในพื้นที่บริเวณปริมณฑลพุทธมณฑลสาย 3 และสาย 5 และจังหวัดระยอง ได้เผยถึงแนวคิดของการพัฒนาฟาร์มสมุนไพรบนพื้นที่กว่า 120 ไร่ ว่า “หากย้อนกลับไปเมื่อกว่า 10 ปีที่แล้วในวันที่คุณแม่ของตนเป็นผู้ป่วยมะเร็งในขั้นที่ 3 - 4 ทำให้ตนมีแนวคิดในการผลิต “อาหารเป็นยา” เพื่อเป็นอีกหนทางในการดูแลคุณแม่ ซึ่งนั่น คือจุดเริ่มต้นของการปลูกพืชผักสมุนไพรด้วยตัวเองและให้คุณแม่บริโภคพืชผักของฉมาฟาร์ม ทำให้ประจักษ์ได้ว่าอาหารที่ดีจะสามารถกลายเป็นทางเลือกในการสร้างเสริมสุขภาพที่แข็งแรง
อย่างไรก็ตาม คำว่าออร์แกนิคหรือเกษตรอินทรีย์ที่กล่าวถึงกันต้องได้รับการเพาะปลูกใน “ระบบนิเวศออร์แกนิค” ประกอบด้วย 5 ปัจจัยสำคัญ ได้แก่
1. พื้นที่แปลงที่ใช้เพาะปลูกต้องได้รับการตรวจรับรอง โดยต้องไม่มีการใช้สารเคมีในการเพาะปลูก
2.ต้องมีแหล่งน้ำของตนเองเพื่อใช้ในการเพาะปลูกตลอดทั้งปี เนื่องจากการปลูกพืชออร์แกนิคไม่สามารถใช้น้ำประปาหรือน้ำจากแหล่งน้ำจากธรรมชาติได้ เนื่องจากไม่สามารถควบคุมการปนเปื้อนในแหล่งน้ำสาธารณะได้
3. ต้องใช้ปุ๋ยหมักในการเพาะปลูก ซึ่งปุ๋ยของฟาร์มเป็นปุ๋ยที่หมักขึ้นเอง
4. เมล็ดพันธุ์ที่ฟาร์มใช้ต้องเป็นเมล็ดพันธุ์ที่ผ่านการรับรองหรือมาจากเมล็ดพันธุ์ที่ปลูกในฟาร์มเองทั้งหมด
5. พื้นที่ตั้งของฟาร์มต้องมีความเหมาะสม อยู่ห่างไกลจากแหล่งมลพิษ และมีแนวกันลมเพื่อกันฝุ่นละอองและสารพิษเข้าสู่ฟาร์ม
และด้วยการดำเนินตามปัจจัยการเพาะปลูกพืชออร์แกนิคหรือเกษตรอินทรีย์ทั้ง 5 ขั้นตอนอย่างเคร่งครัดมาตลอดระยะเวลากว่า 10 ปี ส่งผลให้ Chama Farm นับเป็นหนึ่งในแหล่งผลิตอาหารที่มีความปลอดภัย ด้วยเครื่องหมายการันตีทั้งในประเทศและในระดับสากลมากมาย อาทิ ใบรับรองการเพาะปลูกระบบเกษตรอินทรีย์ มาตรฐาน IFOAM หรือ มาตรฐานสินค้าอินทรีย์เพื่อการนำเข้าในหลากหลายประเทศ มาตรฐานระบบเกษตรอินทรีย์สหภาพยุโรป และ มาตรฐานระบบเกษตรอินทรีย์สหรัฐอเมริกาและแคนาดา เป็นต้น”
ปรินดา กล่าวเสริมว่า “ในส่วนของผลิตผลของ Chama Farm ในแง่ของพืชผักสมุนไพรสดนั้น ต้องใช้ความพิถีพิถันในทุกขั้นตอน และยังเน้นเรื่องความสด โดยจะมีการจัดส่งตรงถึงผู้รับภายใน 1 วันหลังจากเก็บเกี่ยว ทั้งนี้ ทางฟาร์มยังได้มีการนำผลิตผลมาแปรรูปด้วยนวัตกรรมที่สามารถคงคุณภาพและคุณประโยชน์ไว้ได้ใกล้เคียงรูปแบบสดมากที่สุด ภายใต้แบรนด์ “Chama Farm” และ “Chama Herbs” โดยมีแนวคิดเพื่อส่งต่ออาหารเป็นยาที่มีคุณภาพ ให้ผู้บริโภคปกติที่ยังไม่ได้เจ็บป่วย ให้สามารถเข้าถึงได้ สร้างความแข็งแรงให้แก่ร่างกายได้อีกทาง โดยผลิตภัณฑ์ Chama Farm และ Chama Herbs ยังได้รับเลือกให้เป็นสุดยอดผลิตภัณฑ์สมุนไพรคุณภาพแห่งปี หรือ Premium Herbal Product 2566-2568 โดยกองสมุนไพรเพื่อเศรษฐกิจ กรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก กระทรวงสาธารณสุข
ซึ่งในปี 2566 มีผลิตภัณฑ์ที่ได้รับรางวัล ได้แก่ น้ำมันมะรุมออร์แกนิค ตรา Chama farm, ฟรุ๊ตตี้-ซี เม็ดเคี้ยวจากพืชสมุนไพรออร์แกนิค ตรา Chama farm, ยาขี้ผึ้งกลิ่นน้ำมันตะไคร้หอมตรา Chama Herbs และยาพิมเสนน้ำกลิ่นตะไคร้หอมตรา Chama Herbs โดยจากรางวัลที่ได้รับดังกล่าว สามารถเป็นเครื่องยืนยันได้ว่า ผลิตภัณฑ์ Chama Farm และ Chama Herbs นับเป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่น่าสนใจอย่างมาก สำหรับคนที่กำลังมองหาสิ่งที่ดีเพื่อสุขภาพ ทั้งเพื่อ ชะลอ บรรเทา และรักษาความเจ็บป่วยที่เกิดขึ้น หรือเพื่อเสริมความแข็งแรง และยืดความสมบูรณ์ของร่างกาย โดยใช้อาหารจากธรรมชาติเป็นเครื่องบำรุง นำมาซึ่งสุขภาพและคุณภาพชีวิตที่ดีอย่างยั่งยืนต่อไป”