“ยัสปาล กรุ๊ป” มั่นใจสถานการณ์ ศก. กำลังซื้อในไทยฟื้นตัว หลังได้รัฐบาลใหม่ โชว์แผนลงทุนดันกลุ่มธุรกิจแฟชั่นในเครือขยายตลาดคลุมทั้งในไทยและอาเซียน

วันจันทร์ที่ 18 กันยายน พ.ศ. 2566

“ยัสปาล กรุ๊ป” มั่นใจสถานการณ์ ศก. กำลังซื้อในไทยฟื้นตัว หลังได้รัฐบาลใหม่ โชว์แผนลงทุนดันกลุ่มธุรกิจแฟชั่นในเครือขยายตลาดคลุมทั้งในไทยและอาเซียน


นายจรัญ สิงห์สัจจเทศ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ยัสปาล จำกัด (มหาชน) (“บริษัทฯ” หรือ “JPC”) กล่าวว่า กลุ่มบริษัทฯ เป็นบริษัทสัญชาติไทยที่มีส่วนแบ่งการตลาดเป็นอันดับ 1 ในอุตสาหกรรมเสื้อผ้าและรองเท้าเฉพาะอย่างของประเทศไทย (อ้างอิงจาก Euromonitor International) โดยมีส่วนแบ่งการตลาดในช่วงปี 2563 ปี 2564 และปี 2565 ร้อยละ 8.4 ร้อยละ 10 และร้อยละ 10.5 ตามลำดับ โดยธุรกิจของกลุ่มบริษัทฯ มีทั้งกลุ่มธุรกิจสินค้าแฟชั่นและธุรกิจที่นอนและเครื่องนอน ภายใต้แบรนด์สินค้าที่มีความหลากหลาย ทั้งแบรนด์ที่กลุ่มบริษัทเป็นเจ้าของ (Inhouse Brand) และแบรนด์ที่กลุ่มบริษัทได้รับอนุญาตให้เป็นตัวแทนจำหน่าย หรือได้รับสัญญาแฟรนไชส์ หรือ ได้รับอนุญาตให้ใช้สิทธิ (Import Brand) จำนวนรวมกว่า 19 แบรนด์ ได้แก่ Jaspal (ยัสปาล), Misty Mynx (มิสตี้ มิงซ์), CC Double O (ซีซี ดับเบิ้ลโอ), CPS CHAPS (ซีพีเอส แชปส์), Lyn (ลิน), Lyn Around (ลิน อะราวนด์), Fred Perry (เฟร็ด เพอร์รี่), Diesel (ดีเซล), Superdry (ซุปเปอร์ดราย) เป็นต้น สำหรับกลุ่มสินค้าแฟชั่น รวมจำนวนสินค้ามากกว่า 113,000 SKUs มีสินค้าทั้งเสื้อผ้า เครื่องประดับ รองเท้า กระเป๋า เครื่องสำอางและแว่นตา เป็นต้น

นอกจากนี้ ยังเป็นผู้ผลิตจัดหาและจำหน่ายที่นอนและเครื่องนอน ของตกแต่งบ้านและเฟอร์นิเจอร์ ภายใต้ Inhouse Brand และ Import Brand รวม 6 แบรนด์ มีจำนวนสินค้ากว่า 21,500 SKUs ภายใต้แบรนด์ SANTAS, SANTAS Home, Stevens, Sealy, Tempur  และ Ethan Allen ซึ่งมีกลุ่มเป้าหมายทุกกลุ่ม ขณะที่ช่องทางจำหน่ายสินค้า มีทั้งสาขาและจุดจำหน่ายในศูนย์การค้าและห้างสรรพสินค้า รวม 462 สาขา ทั้งในประเทศและต่างประเทศ รวมถึงผ่านช่องทางออนไลน์ผ่านเว็บไซต์และแพลตฟอร์มซื้อขายออนไลน์ต่างๆ ส่วนกลุ่มธุรกิจที่นอนและเครื่องนอน มีช่องทางจำหน่ายผ่าน 3 ช่องทางหลัก ได้แก่ สาขาหน้าร้านและจุดจำหน่ายในศูนย์การค้ามากกว่า 508 แห่ง การขายงานโครงการ และการส่งสินค้าไปยังต่างประเทศ 

โดยปีนี้บริษัทมองว่าภายหลังจากสถานการณ์โควิดจบลง ประเทศเราก็มีนักท่องเที่ยวกลับเข้ามาเยอะมากขึ้น ประกอบกับขณะนี้เราก็ได้มีรัฐบาลเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ทำให้สถานการณ์ค่อนข้างนิ่งและคาดว่ารัฐบาลจะมีการออกนโยบายต่าง ๆ และมีการใช้งบประมาณออกมากระตุ้นเศรษฐกิจซึ่งมองว่าจะส่งผลทำให้ภาพรวมเศรษฐกิจและกำลังซื้อของผู้บริโภคภายในประเทศน่าจะดีขึ้นอย่างแน่นอน

นายวิเศษ สิงห์สัจจเทศ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ยัสปาล จำกัด (มหาชน) หรือ JPC กล่าวต่อว่า ภาพรวมตลาดของอุตสาหกรรมเสื้อผ้าและรองเท้าระหว่างปี 2566-2570 คาดจะมีอัตราการเติบโตเฉลี่ยอยู่ที่ 6.8% ต่อปี ทำให้ยอดขายของอุตสาหกรรมเสื้อผ้าและรองเท้าในปี 2570 เพิ่มขึ้นเป็น 420,423 ล้านบาท จากปี 2565 อยู่ที่ 302,751 ล้านบาท ขณะที่ตลาดที่นอน เครื่องนอน และผ้าปูที่นอนในประเทศไทย ปี 2566 คาดว่าจะมีมูลค่าอยู่ที่ 5,863 ล้านบาท จากปี 2565 อยู่ที่ 5,310 ล้านบาท และระหว่างปี 2566-2570 คาดว่าจะมีอัตราการเติบโตเฉลี่ยอยู่ที่ 4.3% ต่อปี

ทั้งนี้ บริษัทมีเป้าหมายที่จะเป็นผู้นำด้านธุรกิจแฟชั่นไลฟ์สไตล์ในภูมิภาคอาเซียนและระดับอื่นต่อไป โดยมองไปที่ธุรกิจเกี่ยวกับไลฟ์สไตล์ รวมทั้งการขยายธุรกิจต่อเนื่อง โดยจะเน้นไปที่ 5 กลยุทธ์หลักคือ 1.การขยายแบรนด์สินค้าใหม่ๆต่อเนื่องที่มีความหลากหลาย ทั้งพัฒนาแบรนด์เอง และการรับไลเซ่นส์ และทั้งตลาดในประเทศและต่างประเทศ 2. การขยายสาขาและจุดจำหน่ายสินค้าต่อเนื่องและการขยายสาขาต่างประเทศ 3.การพัฒนาช่องทางการจำหน่ายสินค้าผ่านทางออนไลน์ เพื่อรองรับการเติบโตในอนาคต 4. การขยายเข้าสู่ธุรกิจที่เกี่่ยวเนื่องอื่นๆ และ 5.การเสริมศักยภาพของบุคลากรตามแนวทางการเติบโตขององค์กร

นายยศเทพ สิงห์สัจจเทศ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ยัสปาล จำกัด (มหาชน) หรือ JPC กล่าวต่อว่า ปลายปีนี้บริษัทฯจะขยายตลาดต่างประเทศเพิ่มอีกที่ประเทศฟิลิปปินส์โดยจะเริ่มที่แบรนด์แรกและเปิดสาขาแรกก่อนคือ ลินน์ (LYN ) 1 สาขา ขณะที่แผนทั้งปี2566จะขยายสาขาทุกแบรนด์ในต่างประเทศที่ทำอยู่แล้วรวม 44สาขา ปัจจุบัน (สิ้นสุดมีนาคม 2566 ) ตลาดต่างประเทศมีที่ เวียดนาม รวม 36 สาขา รายได้ 379 ล้านบาท, กัมพูชา รวม 31 สาขา รายได้ 261 ล้านบาท และ มาเลเซีย รวม 15 สาขา รายได้ 86 ล้านบาท และยังมีช่องทางอีคอมเมิร์ซอีกด้วย โดยที่สิ้นปี2565 มีรายได้จากต่างประเทศประมาณ 675 ล้านบาท จาก จำนวนรวม 82 สาขา ส่วนตลาดในไทย ปีนี้วางแผนขยายสาขารวม 81 สาขา แบ่งเป็นสาขาของแบรนด์อินเฮาส์ 60 สาขา และสาขาของอิมพอร์ตแบรนด์ 21 สาขา

สำหรับผลการดำเนินงานช่วงไตรมาสแรกปีนี้ มีรายได้รวม 2,932 ล้านบาท กำไร 242 ล้านบาท เมื่อเทียบกับไตรมาสแรกปีที่แล้วที่่ีมีรายได้รวม 2,662 ล้านบาท กำไร 84 ล้านบาท



บริษัท สมาร์ท โกลด์ มีเดีย กรุ๊ป จำกัด SMART GOLD MEDIA GROUP CO.,LTD. ติดต่อสอบถาม ID Line : @siamturakij และ ฝ่ายโฆษณา siamturakijadvertising@gmail.com
© 2013 สยามธุรกิจ