นพพร บุญลาโภ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ทิพยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า สำหรับครึ่งปีแรกของปีนี้ที่ผ่านมาบริษัทสามารถทำผลประกอบการได้อยู่ที่ 4,813 ล้านบาท โดยเราคาดการณ์ว่าครึ่งปีหลังที่เหลือจะเป็นช่วงขาขึ้นของธุรกิจประกัน โดยเบี้ยที่ทำให้เราได้รายได้มานั้นส่วนใหญ่มาจากพาร์ทเนอร์ที่แข็งแกร่งอย่างธนาคารออมสินอยู่ที่สัดส่วน 80 % และ 20 % จากตัวแทน , โบรกเกอร์ , ดิจิตอล เป็นต้น โดยปีนี้ (2566) บริษัทตั้งเป้าเบี้ยประกันชีวิตไว้ที่ 8,000 ล้านบาท เติบโต 20 % เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา (2565) ได้เบี้ยอยู่ที่ 6,600 บาท ซึ่งปีนี้เรามองว่าถ้าหากเปรียบเทียบอุตสาหกรรมธุรกิจประกันโดยที่คาดการณ์ว่าจะเติบโตตัวเลขในหลักเดียว ส่วนทางทิพยประกันชีวิตของเราน่าจะมีอัตราการเติบโตที่ดีขึ้นกว่าภาพรวมอุตสาหกรรม โดยผลประกอบการที่เราตั้งเป้าในช่วงต้นปีนี้เรามองว่าดอกเบี้ยน่าจะอยู่ที่ 2.9 - 3 % เพราะปี 65 มันผันผวนมากดังนั้น ในปี 66 นี้เราจึงมองว่าดอกเบี้ยไม่น่าผันผวนคาดว่าจะอยู่ในเกณฑ์ที่สูง 3-3.1 % ส่งผลให้เรามั่นใจว่าเป้าที่เราตั้งไว้ปิดสิ้นปีที่ 8,000 ล้านบาท จะเป็นไปตามที่บริษัทตั้งหวังไว้อย่างแน่นอน
บิ๊กบอสคนเก่ง กล่าวต่อ ด้วยพันธกิจของทิพยประกันชีวิตที่มีความมุ่งมั่นในการเป็นองค์กรที่สร้างความมั่นคงและยั่งยืน ให้ลูกค้ามีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นมาโดยตลอด ซึ่งเราได้มีการพัฒนาปรับองค์กรตามความเปลี่ยนแปลงของสังคม ไม่หยุดที่จะสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ และบริการเพื่อรองรับความต้องการของลูกค้าที่หลากหลาย ด้วยเหตุนี้ บริษัทจึงจำเป็นต้องปรับตัวบริษัทให้เข้ากับยุคสมัยปัจจุบันนี้ที่เทคโนโลยีมีการพัฒนาไปอย่างรวดเร็ว เพื่อไม่ให้ธุรกิจวงการประกันโดนดิสรัปชั่นไป เพราะในทุกวันนี้เราปฏิเสธไม่ได้ว่าดิจิทัลเทคโนโลยีเป็นหัวใจสำคัญในการสร้างความเติบโตที่ยั่งยืนของธุรกิจประกัน
ด้วยเหตุนี้ ผมจึงมองว่าเราจะโฟกัสช่องทางจัดจำหน่ายไปแต่ในส่วนของตัวแทนอย่างเดียวไม่ได้แล้ว ถึงแม้เมื่อสมัยก่อนตัวแทนเราจะยิ่งใหญ่เป็นเหมือนช่องทางหลักในการขายประกันของเรา แต่ปัจจุบันนี้จำนวนตัวแทนก็ลดน้อยลง ซึ่งขณะนี้มีจำนวนตัวแทนอยู่ไม่เกิน 200 ราย และที่แอคทีฟอยู่100 ราย ซึ่งถือว่าน้อยมาก แต่ก็ยังถือว่าเรายังมีตัวแทนอยู่ แต่เราจะหยุดแค่ตรงนี้ไม่ได้ ดังนั้นเราจึงมีแผนที่จะจัดสรรค้นหาตัวแทนมาเพิ่ม โดยเราต้องการอยากจะสร้างดัวแทนคนรุ่นใหม่ เราจึงได้จัดให้มี โครงการประกวดหนังสั้น TIPlife Short Flim Contest 2023 นั้นเพราะเราต้องการสร้างตัวแทนจากน้ำใหม่ขึ้นมาจากโครงการดังกล่าว โดยได้ตั้งเป้าไว้ในใจว่าโปรเจคนี้ถ้าส่งกันมา 100 เรื่อง ก็น่าจะได้ประมาณ 100 คน แต่ถ้าคัดมาแล้วได้สักประมาณ 50 – 30 คน ก็ยังถือว่าตามเป้าที่อยู่ในใจ เพราะการที่เราจัดโครงการนี้นั้น อันที่จริงแล้วเราต้องอยากรู้มุมมองของเด็ก รุ่นใหม่ที่อายุตั้งแต่ 20 ปีขึ้นไป ว่ามีมุมมองเกี่ยวกับธุรกิจประกันชีวิตอย่างไร โดยเราจะได้เห็นไอเดียของเด็กๆ ยุคใหม่เพื่อให้เราเอามาพัฒนาดีไซน์ในเรื่องของผลิตภัณฑ์ และเรื่องการขายได้ ตอบโจทย์กลุ่มเป้าหมายคนรุ่นใหม่ที่เราต้องการขยายฐานเจาะไปยังกลุ่มนี้ได้ตรงจุด
“ผมมีนโยบายในการที่ไม่ต้องการจะซื้อตัวแทน เพราะเข็ดแล้ว เราอยากจะสร้างตัวแทนด้วยมือของเราเอง ถึงแม้จะเดินช้าหน่อยแต่เดินอย่างมั่นคง และเราอยากสร้างความจงรักภักดีในแบรนด์ สร้างตัวแทนที่มีคุณภาพ โดยเราตั้งเป้าจะขยายฐานเจาะในการสร้างจากเด็กคนรุ่นใหม่ และวางแผนสร้างช่องทางขายใหม่ๆ ผ่านแพลตฟอร์มดิจิตอลต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น เฟสบุ๊ค , ยูทูป ,ไลน์ ออฟฟิเชียล , แอป mymo ของออมสิน เป็นต้น”
เฮีย นพพร กล่าวต่อว่า แผนนำร่องที่ผมได้วางไว้ว่าจะทำในเรื่องของการใช้ช่องทางออนไลน์ขายประกันในอีก 2 เดือนข้างหน้าน่าจะเห็นความชัดเจนเป็น ก็คือการ ไลฟ์สดผ่านช่องทางเพจเฮียนพพร ของตนเองก่อนผมเป็นยูทูบเบอร์ทางสายพระเครื่อง ตลาดนี้ในเมืองไทยมีมูลค่ากว่าแสนล้านบาทต่อปี และเข้าไปคนในกลุ่มธุรกิจนี้ ซึ่งจะเป็นคนในกลุ่มใกล้ตัวผมก่อน ที่เป็นพวกไลฟ์สดสายพระเครื่องอยู่แล้ว เข้ามาทำธุรกิจประกันชีวิต อาทิ ต้อม นครสวรรค์ , อั๋น โอกิ ที่มีคนชมผ่านไลฟ์สดเป็นพัน เป็นหมื่นคน ดังนั้น วิธีการที่จะเอาประกันเข้าไปนำเสนอแนะในกลุ่มไลฟ์สดแบบนี้ 1.ต้องไม่ผิดกฏหมาย 2. ไม่ผิดกฏ คปภ. ซึ่งตนเองมีความเชื่อว่าโลกปัจจุบันนี้มันเปลี่ยนไปเร็วมาก เราเลยมองว่านี้หละเป็นโอกาสที่เราควรจะมาทำช่องทางขายประกันผ่าน “ดิจิตอลเอเจนซี่” โดยเราจะต้องเอาคนที่มีคนติดตามเยอะ ๆ ที่พูดจาแล้วน่าเชื่อถือ มีพรสววรค์ พูดได้ มีความรอบรู้เรื่องประกัน ตอบคำถามให้ลูกค้าได้ให้เกิดความเชื่อมั่น โดยเราตั้งเป้าจะได้ตัวแทนจากกลุ่มคนยุคใหม่นี้ประมาณ 50 ราย
