นายวิศรุต พูลวรลักษณ์ ผู้อำนวยการฝ่ายกลยุทธ์องค์กร บริษัท เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ กรุ้ป จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ก่อนหน้านี้คงเป็นที่ทราบกันว่าภายหลังจากที่ธุรกิจโรงภาพยนต์ได้รับผลกระทบจากวิกฤติโควิด ส่งผลให้ในช่วงนั้นทางเมเจอร์ต้องมีการปรับตัวทางธุรกิจโดยได้ทำการนำป๊อปคอร์นออกมาจำหน่ายนอกโรงหนัง และสร้างการเติบโตอย่างดี โดยปัจจุบันยอดขายป๊อปคอร์นของเมเจอร์จากหน้าโรงและดิลิเวอรี่รวมกัน เฉลี่ยอยู่ที่ 30 ล้านบาทต่อเดือน ถือเป็นเบอร์ 1 ในช่องทางนี้ และเรายังได้สร้างแบรนด์ “ป๊อปสตาร์” ที่เป็นป๊อปคอร์นที่เราได้ทดลองไปทำตลาดในช่องทางรีเทลควบคู่ไปด้วย แต่ไม่ประสบความสำเร็จนัก อันเนื่องมาจากเรามองว่า “ป๊อปสตาร์” สินค้าขนาด 40 กรัม เราวางขายในราคา 35 บาท และแบรนด์อาจจะไม่สามารถสื่อสารให้ผู้บริโภคทราบว่าเป็นป๊อปคอร์นของเมเจอร์ และราคาอาจจะแพงไปสำหรับตลาดแมส
ดังนั้น บริษัทจึงได้หันมาศึกษาวางแผนการทำตลาดกันใหม่เพื่อรุกตลาดขนมขบเคี้ยว (สแน็ค) ที่ปัจจุบันตลาดสแน็คมีมูลค่ากว่า 4.4 หมื่นล้านบาท แบ่งเป็นหมวดหมู่มันฝรั่งใหญ่สุดสัดส่วนกว่า 40% ขนมขึ้นรูป 30% และถั่ว 10% ที่เหลือ 20% เป็นหมวดอื่น เช่น สาหร่าย ปลาเส้น ธัญพืชต่างๆ เป็นต้น ขณะที่ตลาดป๊อปคอร์นมีมูลค่าราว 400-500 ล้านบาท หรือไม่ถึง 5% และมีผู้เล่นเพียงรายเดียว (แบรนด์โตโร-TORO) ที่ยังคงอยู่ในตลาดรีเทลและร้านสะดวกซื้ออยู่ ซึ่งตลาดนี้เรามองว่ายังมีโอกาสอยู่มาก
ล่าสุด เราจึงได้รีแบรนด์ป๊อปสตาร์ มาป็นผลิตภัณฑ์ใหม่ของธุรกิจป๊อปคอร์นในแบรนด์ “POPCORN MAJOR” โดยวางจำหน่ายใน Modern Trade ร้านสะดวกซื้อ เซเว่น อีเลฟเว่น ที่มีสาขาครอบคลุมทั่วประเทศมากถึง 14,000 สาขา มีให้เลือก 3 รสชาติ ได้แก่ รสชีส รสยอดนิยมที่หลายคนติดใจกับผงปรุงรสชีสสูตรพิเศษ, รสคลาสสิค ที่หอมกลิ่นเนยทานแล้วต้องติดใจ และ รสข้าวโพดปิ้ง หอมอร่อยกลิ่นข้าวโพดปิ้งและเนย มาในรูปแบบซองสีสันสดใสขนาด 35 กรัม จำหน่ายราคาซองละ 28 บาท โดยทั้งชื่อแบรนด์ใหม่ และราคาที่เราทำวางจำหน่ายเรามองว่าถือเป็นจุดแข็งของเมเจอร์อยู่แล้ว เพราะทุกคนรู้จักเป็นอย่างดี และในส่วนของราคาขายที่เหมาะสมกับตลาดรีเทลเพื่อให้แข่งขันกันกลุ่มขนมขบเคี้ยวทั่วไปได้
สำหรับการทำตลาดเบื้องต้นเราได้เลือกใช้พรีเซ็นเตอร์วงป๊อปร็อกรุ่นใหม่ “Three Man Down” ตัวแทนที่จะมาถ่ายทอดความอร่อยโพด ๆ ของ “POPCORN MAJOR” ให้เข้าถึงกลุ่มลูกค้า Gen Z อายุ 10-25 ปี “POP ทะลุมิติ ทะลุความสนุก ให้ทุกที่มีแต่ความป๊อป” เมื่อป๊อปคอร์นไม่จำกัดแค่ในโรงหนังอีกต่อไป สามารถหาซื้อได้ง่าย สะดวก ตลอด 24 ชั่วโมงใกล้บ้านนอกจากแตกไลน์สินค้าสู่สแน็ค ยังเดินหน้าเปิดคีออสเพิ่มให้มีราว 40 สาขา เดลิเวอรียังคงเดินลุยขายต่อเนื่อง
ผู้บริหารหนุ่ม กล่าวทิ้งท้ายว่า ทางเมเจอร์วางเป้าหมายให้ธุรกิจป๊อปคอร์นเป็นธุรกิจหลักเทียบเท่ากับรายได้จากตั๋วหนังในอนาคต ขณะที่ปีก่อนรายได้จากป๊อปคอร์นและเครื่องดื่มอยู่ที่ 2,000 ล้านบาท และกว่า 80% มาจากป๊อปคอร์โดยปี 2566 นี้เราตั้งเป้าโตแตะ 2,400 ล้านบาท