“บมจ.นีโอ คอร์ปอเรท” ประกาศยื่นไฟล์ลิ่งเข้าตลาดหลักทรัพย์ระดมทุน พันล้านบาท เดินหน้ายุทธศาสตร์สู่บริษัท FMCG แห่งนวัตกรรมของเอเชีย

วันศุกร์ที่ 24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2566

“บมจ.นีโอ คอร์ปอเรท” ประกาศยื่นไฟล์ลิ่งเข้าตลาดหลักทรัพย์ระดมทุน พันล้านบาท เดินหน้ายุทธศาสตร์สู่บริษัท FMCG แห่งนวัตกรรมของเอเชีย


นายสุทธิเดช ถกลศรี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท นีโอ คอร์ปอเรท จำกัด (มหาชน) หรือ “NEO”  กล่าวว่า บริษัทฯ ผู้ทำการตลาด ผลิตและจัดจำหน่ายสินค้าอุปโภคชั้นนำของประเทศ มากว่า 34 ปี โดยมีวิสัยทัศน์ “มุ่งมั่นที่จะเป็นบริษัท FMCG แห่งนวัตกรรมของเอเชีย ที่ช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตที่ดีให้กับผู้บริโภค” ส่งมอบนวัตกรรมและผลิตภัณฑ์ใหม่ ที่ช่วยดูแลชีวิตประจำวันของทุกคนให้ได้รับความสะดวกสบายและมีคุณภาพชีวิตที่ดีมากขึ้น เพื่อเป็นการยกระดับความสุขของผู้บริโภคให้ทุกวันดียิ่งขึ้น โดยมีสินค้าอยู่ 8 แบรนด์หลัก ประกอบด้วย 1. กลุ่มผลิตภัณฑ์ของใช้ในครัวเรือน 3 แบรนด์ คือ แบรนด์ไฟน์ไลน์ กับผลิตภัณฑ์ซักผ้า ผลิตภัณฑ์ปรับผ้านุ่ม และผลิตภัณฑ์รีดผ้าเรียบ, แบรนด์สมาร์ท กับผลิตภัณฑ์ซักผ้า และผลิตภัณฑ์ปรับผ้านุ่ม สูตรแอนตี้แบคทีเรีย และแบรนด์โทมิ กับผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดพื้น และผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดห้องน้ำ 2.กลุ่มผลิตภัณฑ์ของใช้ส่วนบุคคล 4 แบรนด์ ได้แก่ บีไนซ์, ทรอส, เอเวอร์เซ้นส์ และวีไวต์ และ3.กลุ่มผลิตภัณฑ์ของใช้สำหรับเด็ก ภายใต้แบรนด์ดีนี่ โดยแบรนด์ดีนี่ และทรอส เป็นอันดับ 1 ในตลาดเซกเม้นท์นั้นๆ ส่วนแบรนด์อื่นๆ ติดอยู่ในระดับท็อป 3 ของตลาดทั้งหมด

โดยที่ผ่านมา บริษัทฯ ไม่เคยหยุดนิ่งในการมองหาโอกาสทางการตลาดใหม่ เพื่อนำเสนอกลุ่มผลิตภัณฑ์ที่หลากหลายครอบคลุมทุกความต้องการ ผ่านการสื่อสารทางการตลาดและการจัดกิจกรรมส่งเสริมการขายหลากหลายเหมาะสมกับกลุ่มผู้บริโภคเป้าหมายทำให้สามารถขยายฐานกลุ่มผู้บริโภคส่วนใหญ่ (Mass Market) ไปยังกลุ่มพรีเมียมแมส (Premium Mass) และกลุ่มพรีเมียม (Premium) ได้ในหลายแบรนด์ผลิตภัณฑ์ อีกทั้งรักษาลูกค้าปัจจุบันให้กลับมาซื้อสินค้าซ้ำได้อย่างต่อเนื่อง (Brand Loyalty) และยังมีการส่งออกไปจำหน่ายยังต่างประเทศ 16 ประเทศ โดยมีตลาดหลัก ได้แก่ ประเทศเวียดนาม ประเทศกัมพูชา ประเทศลาว และประเทศเมียนมาร์

สำหรับแผนธุรกิจในรอบ 5 ปีนับจากปีนี้ ได้วางเงินลงทุนไว้ที่ 1,000 ล้านบาท โดยล่าสุดเมื่อช่วงปลายเดือนต.ค. ที่ผ่านมา บริษัทได้ทำการยื่นไฟล์ลิ่งเพื่อเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ โดยปัจจุบันบริษัทมีทุนจดทะเบียนจำนวน 300 ล้านบาท สำหรับวัตถุประสงค์การระดมทุนครั้งนี้มี 4 ข้อ คือ 1.ขยายกำลังการผลิตสินค้า กลุ่มผลิตภัณฑ์ของใช้ในครัวเรือน ซึ่งรวมถึงการขยาย คลังวัตถุดิบและบรรจุภัณฑ์และระบบบริหารจัดการคลัง 2. เป็นเงินทุนหมุนเวียนในการดำเนินธุรกิจ 3. ชำระคืนเงินกู้ยืมที่มีกับสถาบันการเงิน และ4. เพื่อลงทุนในธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินธุรกิจของบริษัท

ขณะที่รายได้จากการขายรวมของบริษัทในปี 2565 ที่ผ่านมา เติบโต 11.49% เมื่อเทียบจากปีก่อนหน้า หรือคิดเป็นมูลค่ารวมได้ถึง 8,300.69 ล้านบาท แบ่งออกเป็น 3 กลุ่มหลัก คือ 1. กลุ่มผลิตภัณฑ์ของใช้ในครัวเรือน 3,498.05 ล้านบาท 2. กลุ่มผลิตภัณฑ์ของใช้สำหรับเด็ก 2,731.49 ล้านบาท และ 3. กลุ่มผลิตภัณฑ์ของใช้ส่วนบุคคล 2,071.15 ล้านบาท และในช่วงครึ่งปีแรกที่ผ่านมา มียอดขายรวมเติบโตขึ้น 17.87% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน หรือมียอดขายรวมกว่า 4,572.7 ล้านบาท โดยเชื่อมั่นว่าถึงสิ้นปีนี้ บริษัทจะมียอดขายเติบโต 2 หลัก หรือไม่ต่ำกว่า 10% เช่นปีที่ผ่านๆมา

ด้าน นางปัทมา ถกลศรี รองประธานเจ้าหน้าที่บริหารสายการพาณิชย์ NEO กล่าวว่า อุตสาหกรรมสินค้าอุปโภคในประเทศไทยมีศักยภาพเติบโตอย่างต่อเนื่อง จากภาวะเศรษฐกิจและภาคการท่องเที่ยวที่เริ่มฟื้นตัวหลังสถานการณ์การแพร่ระบาดของ COVID-19 อีกทั้งปัจจัยการก้าวเข้าสู่สังคมเมือง (Urbanization) ที่ขยายตัวและเกิดวิถีชีวิตใหม่ด้านสุขอนามัย ส่งผลให้อัตราการอุปโภคขยายตัวเพิ่มขึ้น ในขณะที่กลุ่มประเทศ CLMV ซึ่งเป็นตลาดเกิดใหม่มีการเติบโตสูงในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ จากการเปิดรับการลงทุนจากต่างประเทศและขยายตัวไปสู่ภาคอุตสาหกรรมส่งผลให้อุตสาหกรรมอุปโภคเติบโต  โดยบริษัทฯ ได้วางกลยุทธ์มุ่งมั่นที่จะเป็นบริษัท FMCG แห่งนวัตกรรมของเอเชีย ที่ช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตที่ดีให้กับผู้บริโภค ผ่าน 3 แนวทางขับเคลื่อนธุรกิจสู่การเติบโตอย่างยั่งยืน ได้แก่ 1.กลยุทธ์ด้านการตลาด เพิ่มความนิยมของผลิตภัณฑ์และเพิ่มส่วนแบ่งทางการตลาด นำเสนอนวัตกรรมและผลิตภัณฑ์ใหม่ ปรับปรุงผลิตภัณฑ์เดิม และมุ่งขยายสินค้าในพอร์ตโฟลิโอไปยังกลุ่มสินค้าระดับพรีเมียมแมส และพรีเมียม เพื่อเพิ่มฐานลูกค้ากลุ่มใหม่ และตั้งเป้าเพิ่มส่วนแบ่งทางการตลาดให้ใกล้กับผู้นำตลาดมากขึ้น 2.กลยุทธ์ด้านการเพิ่มประสิทธิภาพห่วงโซ่อุปทานอย่างต่อเนื่อง มุ่งพัฒนาการบริหารจัดการวัตถุดิบและบรรจุภัณฑ์ให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด เพิ่มประสิทธิภาพในกระบวนการผลิต ลงทุนในระบบบริหารจัดการการจัดเก็บสินค้าสำเร็จรูปคลังสินค้าอัตโนมัติ และบริหารจัดการวัตถุดิบและบรรจุภัณฑ์ให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด และ 3.การให้ความสำคัญกับการพัฒนาองค์กรอย่างยั่งยืน ตลอดจนสร้างแบรนด์ผลิตภัณฑ์ที่ยั่งยืน

นางสาวณิศรา ถกลศรี รองประธานเจ้าหน้าที่บริหารสายปฏิบัติการ NEO กล่าวว่าปิดท้ายว่า บริษัทฯ ให้ความสำคัญกับการลงทุนวิจัยและพัฒนานวัตกรรมและผลิตภัณฑ์ใหม่สู่ตลาดอยู่เสมอ โดยทีมงานวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ของ NEO มีความเชี่ยวชาญและความเข้าใจในธุรกิจสินค้าอุปโภค สามารถมองเทรนด์ของตลาด และเข้าใจความต้องการของผู้บริโภคในแต่ละช่วงเวลาได้เป็นอย่างดี ทำให้บริษัทฯ สามารถสร้างสรรค์นวัตกรรมและผลิตภัณฑ์ใหม่ให้กับทุกคน และช่วยเพิ่มคุณค่าให้แต่ละผลิตภัณฑ์สามารถตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงของตลาดได้อย่างทันท่วงที ซึ่งเมื่อปี 2565 บริษัทฯ มีการออกผลิตภัณฑ์ใหม่ 412 รายการ (SKUs) อีกทั้งยังมีโครงการในการวิจัยและพัฒนาในการลดต้นทุนการผลิต โดยการหาตัวเลือกวัตถุดิบที่มีคุณภาพตามมาตรฐานการผลิตและราคาที่เหมาะสม ช่วยเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันของตลาดสินค้าอุปโภคได้ดียิ่งขึ้น เพื่อก้าวสู่แบรนด์ชั้นนำระดับสากลและเป็นแบรนด์ที่ครองใจผู้บริโภคสูงสุด

ขณะเดียวกัน บริษัทฯ มีแผนที่จะปรับปรุงและขยายกำลังการผลิตสินค้ากลุ่มผลิตภัณฑ์ของใช้ในครัวเรือนและกลุ่มผลิตภัณฑ์ของใช้ส่วนบุคคลอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้กำลังการผลิตรวมทั้งหมดอยู่ที่ 229,296 ตันต่อปี (ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2566) เพิ่มขึ้นร้อยละ 20.86% ต่อปี จากเดิมที่ 142,800 ตันต่อปี ในปี 2563 อีกทั้งบริษัทฯ มีการลงทุนในอาคารและระบบคลังจัดเก็บสินค้าสำเร็จรูปอัตโนมัติ (Automated Storage and Retrieval Systems: ASRS) เพื่อรองรับแผนการเติบโตในอนาคต โดยปัจจุบันสามารถจัดเก็บสินค้าได้ 35,000 พาเลท และกำลังอยู่ระหว่างก่อสร้างอาคารและระบบคลังสินค้าอัตโนมัติรองรับการจัดเก็บสินค้าสำเร็จรูปประมาณ 10,700 พาเลท โดยคาดว่าสามารถเปิดดำเนินการได้ไตรมาสที่ 4 ปี 2566 



บริษัท สมาร์ท โกลด์ มีเดีย กรุ๊ป จำกัด SMART GOLD MEDIA GROUP CO.,LTD. ติดต่อสอบถาม ID Line : @siamturakij และ ฝ่ายโฆษณา siamturakijadvertising@gmail.com
© 2013 สยามธุรกิจ