นายวิโรจน์ วชิรเดชกุล รองกรรมการผู้จัดการอาวุโส สายงานธุรกิจในประเทศ บริษัท ศรีนานาพร มาร์เก็ตติ้ง จำกัด (มหาชน) หรือ SNNP กล่าวว่า ตลาดอุตสาหกรรมเสริมอาหารในไทยมีมูลค่ากว่า 8.7 หมื่นล้านบาท และมีอัตราการเติบโต 10% ในปี 2566 ถ้าแบ่งตลาดอาหารเสริมในไทยตามคุณประโยชน์ กลุ่มอาหารเสริมที่เน้นคุณโยชน์สุขภาพโดยรวมมีสัดส่วนถึง 29% หรือประมาณ 25,230 ล้านบาท จากการศึกษาพฤติกรรมและมุมมองของผู้บริโภคต่อสินค้า กลุ่มอาหารเสริมในประเทศไทย ทำให้ทราบถึงความต้องการของผู้บริโภค จึงได้พัฒนาสินค้าเพื่อตอบสนองความต้องการนั้น ซึ่งยังไม่มีใครนำเสนอในตลาด และสิ่งที่เราค้นพบคือผู้บริโภคในแต่ละช่วงอายุ มีความต้องการ อาหารเสริมในปริมาณที่ไม่เท่ากัน โดยสินค้าอาหารเสริมที่เหมาะสมตามช่วงอายุ ได้ถูกพัฒนาและวางขายในต่างประเทศมาหลายปีแล้วและได้รับการยอมรับเป็นอย่างดี
ล่าสุด ปีนี้บริษัทได้วางแผนการทำธุรกิจที่จะสร้าง New S-Curve กับธุรกิจใหม่ ในการลงทุนพัฒนาสินค้าใหม่ในกลุ่มของผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร (Supplementary) ภายใต้แบรนด์ ”เจเล่ฟิตต์” (Jele Fitt) ครั้งแรกของผลิตภัณฑ์เสริมอาหารในรูปแบบเยลลี่รสผลไม้ ที่ถูกพัฒนาเพื่อให้เหมาะกับคนแต่ละช่วงอายุที่แตกต่างกัน ถูกแบ่งออกเป็น 3 ช่วงวัย ได้แก่ ผลิตภัณฑ์สำหรับวัย 20-29 ปี, สำหรับวัย 30-39 ปี และสำหรับวัย 40-49 ปี รสชาติอร่อย ถูกปาก บรรจุภัณฑ์ที่สะดวกพกพาง่าย รวมถึงรูปแบบการดีไซน์ที่โดดเด่น โดยวางสินค้าอาหารเสริมอยู่ในกลุ่มตลาด premium mass market ราคาซองละ 15 บาท (1 ซอง บรรจุ 27 กรัม) วางจำหน่าย ที่ร้านสะดวกซื้อ 7-11
สำหรับแผนการตลาดบริษัทเตรียมจัดทำหนังโฆษณาออนไลน์ มีการแจกสินค้าตัวอย่าง และทำสื่อสารผ่าน KOL สาย HCP (บุคลาการทางการแพทย์) ซึ่งเป็นบุคลาการทางการแพทย์ จะมีช่อง Fitt Talk by Jele Fitt ได้แก่ Fitt Talk 20, Fitt Talk 30 และ Fitt Talk 40 เพื่อตอกย้ำความเชื่อมั่น การสร้างความน่าเชื่อถือและยืนยันว่าร่างกายของคนเราแตกต่างกัน จึงต้องการผลิตภัณฑ์อาหารเสริมตามช่วงวัยที่ไม่เหมือนกัน และสายไลฟ์สไตล์จะมีช่อง Fitt Talk by Jele Fitt ได้แก่ Fitt Talk 20, Fitt Talk 30 และ Fitt Talk 40 เพื่อสร้างความมั่นใจจาก KOL ที่ได้ทดลองผลิตภัณฑ์จริง รวมไปถึงการแจกสินค้าตัวอย่างให้กลุ่มเป้าหมายตามมหาวิทยาลัย และ office building การวางสินค้าที่โดดเด่นบนชั้นวางสินค้า ด้วยแผนการตลาดทั้งหมด คาดว่าจะสามารถเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายกว่า 80% ทั่วประเทศ
ผู้บริหาร กล่าวต่อว่า สำหรับสถานการณ์เศรษฐกิจในปีนี้มองว่าจะยังคงอยู่ในช่วงชะลอตัวเนื่องจากความไม่แน่นอนของทางรัฐบาลในเรื่องนโยบายในกระตุ้นเศรษฐกิจการจับจ่ายใช้สอยภายในประเทศ ซึ่งเป็นความท้าทายของผู้ประกอบการที่จะต้องหากลยุทธ์มาขับเคลื่อนให้ธุรกิจมีการเติบโต ซึ่งจากกลยุทธ์ การดำเนินธุรกิจในปีนี้ของบริษัทฯ คาดว่าจะสามารถทำรายได้เติบโตเป็นตัวเลข 2 หลัก โดยผลการดำเนินงานของบริษัทฯในปี 2566 มีกำไรสุทธิ 636 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 120 ล้านบาท หรือ 23% สร้างสถิติสูงสุดใหม่ต่อเนื่อง ส่วนรายได้รวม 6,049 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 445 ล้านบาท หรือ 8% เทียบงวดเดียวกันของปีก่อนมีรายได้รวม 5,604 ล้านบาท โดยปัจจุบันภาพรวมตลาดขนบขบเคี้ยวในไทยมีการเติบโตเฉลี่ย 3-5% มีมูลค่าตลาดรวมอยู่ที่ 43,000 ล้านบาท