จากแผนพัฒนาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมของรัฐบาลที่ต้องการปฏิรูปประเทศไทยสู่ดิจิทัลไทยแลนด์ (Digital Thailand) เพื่อให้ประเทศไทยเป็นสังคมดิจิทัลอย่างเต็มรูปแบบ จึงทำให้ทั้งภาครัฐและเอกชนต้องปรับตัวให้สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้นในอนาคต โดยแต่ละหน่วยงานหันมาให้ความสนใจในด้านเทคโนโลยีสารสนเทศผ่านการลงทุนระบบโครงสร้างพื้นฐานเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ การพัฒนาศูนย์ข้อมูล และการวิเคราะห์ข้อมูลในรูปแบบต่างๆเพิ่มมากขึ้น ส่งผลให้ตลาดระบบเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง ดังนั้นผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมดังกล่าวจะได้รับประโยชน์จากการเปลี่ยนแปลงในครั้งนี้
บริษัท เทอร์ราไบท์ พลัส จำกัด (มหาชน) TERA เป็นหนึ่งในกลุ่มบริษัทประกอบธุรกิจให้บริการด้านระบบคลาวด์ จัดจำหน่ายและให้บริการระบบโครงสร้างพื้นฐานทางด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ICT) ขนาดใหญ่แบบครบวงจร ให้บริการแอปพลิเคชั่น ด้าน Logistics รวมถึงการลงทุนในกิจการอื่นๆ ที่ให้บริการด้านซอฟต์แวร์แอปพลิเคชั่นทางธุรกิจต่างๆ โดยแบ่งกลุ่มธุรกิจออกเป็น 4 กลุ่มธุรกิจได้แก่
1. กลุ่มธุรกิจบริการระบบเก็บข้อมูลและประมวลผลระบบสารสนเทศบนเครือข่ายอินเทอร์เน็ต และบริการในรูปแบบสมาชิกแบบต่อเนื่อง (Cloud & Recurring Services)
2. กลุ่มธุรกิจจัดจำหน่ายโซลูชั่นและให้บริการที่เกี่ยวข้องกับระบบโครงสร้างพื้นฐานทางด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร และระบบรักษาความปลอดภัยทางไซเบอร์ (On-Premise Hardware & Cyber Security)
3. กลุ่มธุรกิจระบบซอฟต์แวร์บริหารจัดการ การขนส่งกระจายสินค้าและโลจิสติกส์ (Transportation Management System: TMS) ภายใต้ตราสินค้า “Skyfrog”
4. กลุ่มธุรกิจการวิเคราะห์ข้อมูล (Data Analytics)
ภายใต้การบริหารงานของ "สุรสิทธิ์ คิวประสพศักดิ์" ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร (CEO) TERA ได้เห็นโอกาสของการเติบโตของธุรกิจในอนาคต จึงได้เดินหน้าเข้าระดมทุนโดยการเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนให้แก่ประชาชนเป็นครั้งแรก (IPO) จำนวน 90 ล้านหุ้น ราคาหุ้นละ 1.75 บาท และจะเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) หมวดธุรกิจเทคโนโลยี (TECH) ในวันที่ 24 เมษายน 2567 ใช้ชื่อย่อในการซื้อขายหลักทรัพย์ว่า “TERA”
สำหรับวัตถุประสงค์การระดมทุนครั้งนี้ จะนำเงินที่ได้จากการเสนอขายหุ้น IPO เพื่อใช้เป็นเงินลงทุนดังนี้ 1. ลงทุนในระบบ Cloud เพื่อเพิ่มปริมาณและคุณภาพการให้บริการ T.Cloud แก่ลูกค้าที่ต้องการใช้ Local Cloud ในการจัดเก็บข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ 2. ลงทุนในธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องที่มีศักยภาพ เพื่อรองรับการเติบโตของบริษัทฯ และ 3. เป็นเงินทุนหมุนเวียนภายในกิจการ เพื่อรองรับการขยายธุรกิจตามแผนงานที่วางไว้ สร้างการเติบโตที่แข็งแกร่งและยั่งยืน
ทั้งนี้ ภาพรวมผลการดำเนินงานของ TERA มีการเติบโตอย่างต่อเนื่องมาโดยตลอด จากสถิติย้อนหลังปี 2564-2566 พบว่าบริษัทฯ มีรายได้จากการขายและบริการ จำนวน 390.55 ล้านบาท, 555.29 ล้านบาท และ 599.46 ล้านบาท ตามลำดับ มีกำไรขั้นต้น 101.11 ล้านบาท, 123.22 ล้านบาท และ 136.90 ล้านบาท ตามลำดับ และมีกำไรสุทธิ 18.71 ล้านบาท, 25.79 ล้านบาท และ 28.96 ล้านบาท ตามลำดับ โดยมีอัตรากำไรขั้นต้น 25.89%, 22.19% และ 22.84% ตามลำดับ และมีอัตรากำไรสุทธิ 4.73%, 4.61% และ 4.79% ตามลำดับ
ขณะที่แนวโน้มอุตสาหกรรมดิจิทัลของไทยยังคงมีการเติบโตได้อย่างต่อเนื่องในทุกกลุ่มธุรกิจ ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจฮาร์ดดิสก์ไดรฟ์ (HDD) โดยตั้งแต่ปี 2566-2568 จะกลับมามีการเติบโตในระดับ 1.0%-2.0% ต่อปี กลุ่มธุรกิจแผงวงจรรวม (IC) ช่วงปี 2566-2568 มีแนวโน้มเติบโตเฉลี่ย 3.0%-4.0% ต่อปี ขณะที่กลุ่มธุรกิจ บริการดิจิทัลและซอฟต์แวร์ โดยบริการดิจิทัลปี 2566-2568 คาดว่ารายได้จะเติบโตต่อเนื่อง 22.0-23.0% ต่อปี ส่วนกลุ่มธุรกิจซอฟต์แวร์และบริการซอฟต์แวร์ปี 2566-2568 คาดว่ารายได้จะเติบโตต่อเนื่อง 11.0%-12.0% ต่อปี
รวมถึงภาพรวมแนวโน้มอุตสาหกรรมธุรกิจบริการขนส่งสินค้าทางถนน ซึ่ง บริษัท สกายฟร็อก จำกัด ซึ่งมีฐานะเป็นบริษัทย่อยของ TERA ในฐานะผู้จัดจำหน่าย ให้บริการ และเป็นเจ้าของซอฟต์แวร์ “Skyfrog” ระบบจัดการขนส่งสินค้าบน Cloud ซึ่งจะมีแนวโน้มการเติบโตสอดคล้องกับธุรกิจบริการขนส่งสินค้าในปัจจุบัน โดยศูนย์วิจัยกรุงศรีฯ คาดปริมาณขนส่งสินค้าทางถนนจะขยายตัวเฉลี่ย 4.0-5.0% ต่อปีในปี 2566-2567 สะท้อนได้ว่า บริษัท สกายฟร็อก จำกัด ก็มีโอกาสเติบโตได้ต่อไปในอนาคตเช่นกัน
สำหรับโครงการในอนาคตของ TERA นั้น ภายหลังจากที่มีการระดมทุนไปแล้ว บริษัทฯ มีนโยบายจะเน้นเรื่องของการเพิ่มโอกาสทางธุรกิจ และรักษาคุณภาพบริการ T.Cloud โดยจะลงทุนระบบ Cloud มูลค่าประมาณ 60 ล้านบาท ภายในไตรมาส 4/2567 เป็นต้นไป
รวมถึงจะมีการลงทุนในธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องที่มีศักยภาพ เพื่อรองรับการเติบโต ด้วยการลงทุนราว 70 ล้านบาทตั้งแต่ในปี 2568 - 2569 ส่วนเงินที่เหลือจากการระดมทุนในครั้งนี้ ก็จะใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนของกิจการในช่วงปี 2567-2568
อย่างไรก็ตาม การลงทุนในครั้งนี้ บริษัทฯ เชื่อมั่นว่า จะช่วยเพิ่มอัตรากำไรขั้นต้น และผลการดำเนินงานที่เติบโต ทำให้คุณภาพและบริการดีขึ้น เพิ่มจุดขายได้มากขึ้นตลอดจนจะช่วยเพิ่มศักยภาพในการแข่งขันมากขึ้นอีกด้วย
ทั้งนี้ หากพิจารณาความน่าสนใจในการลงทุน หรือจุดเด่นของหุ้น TERA คือ มีประสบการณ์ในธุรกิจนี้มาอย่างยาวนาน มีทีมงานผู้เชี่ยวชาญมากฝีมือ ได้รับการยอมรับจากตลาด มีฐานลูกค้าอยู่เป็นจำนวนมาก มีฐานะการเงินที่แข็งแกร่ง ไม่มีหนี้เงินกู้ยืมสถาบันการเงิน มีสัดส่วนรายได้จากการให้บริการแบบประจำสม่ำเสมอในสัดส่วนที่สูงถึงประมาณ 40% ของรายได้รวม มีศักยภาพในการแข่งขัน และมีโอกาสเติบโตอีกมากในอนาคต มีนโยบายการจ่ายเงินปันผลไม่น้อยกว่า 50% ของกำไรสุทธิ หลังหักสำรองต่างๆ ตามกฎหมาย และในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา (2564 – 2566) TERA มีประวัติการจ่ายปันผลที่ดี โดยจ่ายเกินกว่านโยบายดังกล่าวทุกปี
โดย TERA รู้ลึก รู้จริง มากประสบการณ์ใน Solutions และ Services ที่ทำเป็นอย่างดี โดยสามารถเป็นที่พึ่งให้กับลูกค้าได้ มี Intellectual Property Solutions & Services ดีๆ ที่ช่วยธุรกิจลูกค้า ทั้ง T.Cloud และแอปพลิเคชั่น Skyfrog ซึ่งเป็นระบบที่มีชื่อเสียงที่ดี มี Reference Sites ลูกค้าขนาดกลาง-ใหญ่ จำนวนมากทั้งภาคเอกชน และภาครัฐ สามารถนำความสำเร็จไปสู่ลูกค้าตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา
จากข้อมูลข้างต้นจะเห็นว่าแนวโน้มอุตสาหกรรมทุกกลุ่มธุรกิจของTERA จะมีการเติบโตอย่างต่อเนื่องในระยะอีก 3 ปีข้างหน้า รวมทั้งการที่เป็นผู้นำในธุรกิจ และยังได้รับเงินทุนจากการระดมทุนในครั้งนี้ ทำให้มีศักยภาพมากขึ้น ตลอดจนช่องทางระดมทุนที่เพิ่มขึ้นในอนาคต ดังนั้นน่าจะช่วยผลักดันให้บริษัทฯ มีการเติบโตก้าวกระโดดในรูปแบบ ติดเทอร์โบได้อย่างแน่นอน