เลิกจ้าง 8.8 หมื่นคน 3 พันโรงงาน..ยกธง! เศรษฐกิจ/ต้นทุน/โลกร้อนป่วน

วันจันทร์ที่ 22 กรกฎาคม พ.ศ. 2567

เลิกจ้าง 8.8 หมื่นคน 3 พันโรงงาน..ยกธง! เศรษฐกิจ/ต้นทุน/โลกร้อนป่วน


จากข้อมูลของกรมโรงงานอุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรม พบว่ายอดปิดโรงงานย้อนหลังตั้งแต่ ม.ค.2565 - มิ.ย.2567 รวม 2 ปี 5 เดือน พบโรงงานปิดกิจการทั้งสิ้น 3,418 แห่ง ส่งผลให้สูญเสียเงินลงทุนรวมกว่า 231,245 และพนักงานถูกเลิกจ้างมากถึง 88,675 คน

ปัญหาความซบเซาของเศรษฐกิจ มาตรการการค้าระหว่างประเทศ สินค้าส่งออกของไทยได้รับความนิยมลดลง เนื่องจากไม่มีสินค้าใหม่ๆ ออกสู่ตลาด โดยเฉพาะกลุ่มสินค้าไฮเทคที่กำลังเป็นเทรนด์ของโลก ต้นทุนการผลิตที่ปรับตัวสูงขึ้นต่อเนื่อง ทั้งค่าไฟฟ้า ค่าแรงงาน ดอกเบี้ยและค่าขนส่ง ทำให้ต้นทุนการผลิตของผู้ประกอบการไทยไม่สามารถแข่งขันได้ รวมถึงการเข้ามาของสินค้าราคาถูกจากต่างประเทศ ส่งผลให้หลายกิจการไปไม่ไหว

โดยหากย้อนไปดูสถิติการปิดกิจการเมื่อปี 2564 อยู่ที่ 678 แห่ง พอมาถึงปี 2565 เพิ่มเป็น 997 แห่ง และปี 2566 ขยับเป็น 1,337 แห่ง เพิ่มขึ้นจากปี 2565 กว่า 60% ขณะที่ช่วง 5 เดือนแรกของปีนี้ (ม.ค.-พ.ค.2567) จำนวนการปิดโรงงาน อยู่ที่ 488 แห่ง ทำให้ในช่วง 5 เดือนของปี 2567 มีคนตกงาน 12,551 คน

เมื่อพิจารณาองค์ประกอบของการปิดโรงงาน พบว่าปรับตัวลดลงทุกองค์ประกอบ ทั้งยอดขายโดยรวม ยอดคำสั่งซื้อโดยรวม ปริมาณการผลิต ต้นทุนผลประกอบการ ขณะที่ความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรมที่ปรับตัวลดลง เป็นผลมาจากกำลังซื้อในประเทศที่ยังเปราะบาง เนื่องจากเศรษฐกิจยังมีความไม่แน่นอน รวมถึงปัญหาหนี้ครัวเรือนที่ยังอยู่ในระดับสูงและสัดส่วนหนี้เสีย (NPLs) ที่ปรับตัวสูงขึ้น ส่งผลให้การบริโภคสินค้าชะลอลง ขณะที่ราคาน้ำมันเชื้อเพลิงที่ปรับตัวสูงขึ้น ส่งผลกระทบต่อต้นทุนการผลิต ตลอดจนผู้ประกอบการยังได้รับผลกระทบจากสินค้าราคาถูกจากต่างประเทศที่เข้ามาแข่งขันในไทยและอาเซียนมากขึ้น ทำให้สินค้าไทยแข่งขันได้ยาก รวมถึงสภาพอากาศที่แปรปรวนจากการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ ส่งผลกระทบต่อสินค้าเกษตร

ส่งออกไทยเสี่ยงสูญเสียตลาด

ปัญหาโลกร้อนกลายประเด็นสำคัญที่อาจทำให้ไทยสูญเสียศักยภาพการส่งออก หากไม่ปรับตัวทันที เนื่องจากสหภาพยุโรป สหรัฐอเมริกา อยู่ระหว่างการพิจารณาร่างกฎหมายการเก็บภาษีคาร์บอน (Clean Competition Act: CCA) เพื่อกำหนดราคาคาร์บอนจากสินค้าที่ก่อให้เกิดก๊าซเรือนกระจกเข้มข้นที่ผลิตในประเทศและจากการนำเข้า ซึ่งจะมีผลบังคับใช้ในวันที่ 1 มกราคม 2569 สถานการณ์ดังกล่าวจะส่งผลกระทบต่อผู้ประกอบการไทยที่ส่งออกสินค้าไปขายตลาดสหภาพยุโรปและสหรัฐอเมริกา นอกจากนี้ยังมีภาษี CBAM หนึ่งในมาตรการภายใต้นโยบายแผนปฏิรูปสีเขียวของสหภาพยุโรป เพื่อป้องกันการรั่วไหลของคาร์บอน (Carbon Leakage) และลดความเหลื่อมล้ำในการแข่งขันจากผู้ผลิตต่างชาติที่มีมาตรการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่เข้มข้นน้อยกว่าสหภาพยุโรป ซึ่งมีผลบังคับใช้อย่างเต็มรูปแบบในวันที่ 1 ตุลาคม 2566 ที่ผ่านมา คาดว่ามาตรการดังกล่าว จะส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมที่มีความเสี่ยงสูงต่อการรั่วไหลของคาร์บอนในกระบวนการผลิต

ดัชนีเชื่อมั่นต่ำสุดรอบ 9 เดือน

ขณะที่ ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค (CCI) ของ ศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เดือน มิ.ย.2567 อยู่ที่ 58.9 ปรับตัวลดลงจากเดือน พ.ค.2567 ที่ระดับ 60.5 เป็นการปรับตัวลดลงต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 4 และอยู่ในระดับต่ำสุดในรอบ 9 เดือน นับตั้งแต่เดือน ต.ค.2566 เป็นต้นมา ส่วนดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคในปัจจุบันปรับตัวลดลงจากระดับ 44.1 เป็น 42.8 และดัชนีความเชื่อมั่นในอนาคต ปรับตัวลดลงจากระดับ 68.4 มาอยู่ที่ระดับ 66.7

ปัจจัยที่ทำให้ความเชื่อมั่นผู้บริโภคลดลง เนื่องจากกลับมากังวลว่าการเมืองไทยเริ่มขาดเสถียรภาพ หลังจากศาลรัฐธรรมนูญรับคำร้องของ 40 สว. เกี่ยวกับคุณสมบัติของนายกรัฐมนตรี และกังวลเศรษฐกิจไทยชะลอตัวลงและฟื้นตัวช้า เพราะยังไม่เห็นมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่ชัดเจน ประกอบกับราคาพลังงานปรับตัวสูงขึ้น โดยเฉพาะน้ำมันเบนซิน และผู้บริโภคยังคงมีความกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์เศรษฐกิจโลกชะลอตัว สงครามในตะวันออกกลางที่ยังคงยืดเยื้อบานปลาย อาจเป็นปัจจัยที่เพิ่มแรงกดดันการฟื้นตัวล่าช้าของเศรษฐกิจไทย

อุตฯชี้โรงงานเปิดใหม่มากกว่าปิดร้อยละ 74

อย่างไรก็ตาม นางสาวพิมพ์ภัทรา วิชัยกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม (อก.) เปิดเผยถึงกรณีกระแสข่าวการปิดกิจการโรงงานในปัจจุบันว่า จากข้อมูลของกรมโรงงานอุตสาหกรรม ณ วันที่ 12 มิถุนายน 2567 ประกอบกับการวิเคราะห์ข้อมูลโดยสำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม พบว่าภาพรวมในปี 2567 ตั้งแต่มกราคม-พฤษภาคม 2567 มีโรงงานปิดกิจการ 488 โรงงาน ขณะเดียวกันมีโรงงานเปิดกิจการใหม่  848 โรงงาน โดยจำนวนโรงงานเปิดใหม่สูงกว่าปิดถึงร้อยละ 74 และเมื่อพิจารณามูลค่าเงินลงทุนจากการเลิกประกอบกิจการ พบว่า มีจำนวน 14,042  ล้านบาท ในขณะที่การเปิดโรงงานใหม่มีเงินลงทุนถึง 149,889 ล้านบาท ซึ่งมีเงินลงทุนมากกว่าปิดกิจการกว่า 10 เท่า และในด้านการจ้างงานในภาคอุตสาหกรรม การปิดกิจการมีการเลิกจ้างงาน 12,551 คน ในขณะที่การเปิดโรงงานใหม่มีการจ้างงานถึง 33,787 คน ซึ่งมีความต้องการแรงงานมากกว่า 21,236 คน นอกจากนี้ เมื่อรวมกับโรงงานเดิมที่มีการขยายกิจการจะมีอีกจำนวนกว่า 126 โรงงานเกิดการลงทุนเพิ่มขึ้น 11,748  ล้านบาท และเกิดการจ้างงานเพิ่มขึ้นกว่า 4,989 คน



บริษัท สมาร์ท โกลด์ มีเดีย กรุ๊ป จำกัด SMART GOLD MEDIA GROUP CO.,LTD. ติดต่อสอบถาม โทร : 0893284192 , ID Line : @siamturakij และ ฝ่ายโฆษณา siamturakijadvertising@gmail.com
© 2013 สยามธุรกิจ