นายโจโจ้ เดลา ครูซ ผู้อำนวยการบริหารธุรกิจผลิตภัณฑ์กาแฟและครีมเทียม บริษัท เนสท์เล่ (ไทย) จำกัด กล่าวว่า ตลาดกาแฟสำเร็จรูปในประเทศไทยในไตรมาสแรกของปี พ.ศ. 2567 มีมูลค่าตลาดโดยรวม 5,700 ล้านบาท และเติบโต 5% เมื่อเทียบกับไตรมาสแรกของปีก่อน เนื่องมาจากความต้องการที่สูงของผู้บริโภคชาวไทย (ที่มา: นีลเส็นไอคิว) ในขณะที่ตลาดกาแฟพร้อมดื่มหรือ RTD ยังได้รับความนิยมมากขึ้นในประเทศ เนื่องจากความต้องการด้านความสะดวกสบายและอุณหภูมิที่สูงขึ้นเป็นประวัติการณ์ในช่วงหน้าร้อน มูลค่าตลาดกาแฟพร้อมดื่มในไตรมาสแรกของปีนี้จึงอยู่ที่ 3,800 ล้านบาท และมีการเติบโต 10% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน (ที่มา: คันทาร์ เวิลด์พาแนล)
เมื่อโลกมีการเปลี่ยนแปลง ผู้บริโภคและบทบาทของกาแฟก็เปลี่ยนไปด้วยเช่นกัน จึงนำไปสู่กลยุทธ์แรก คือ การพัฒนาจุดยืนของแบรนด์เนสกาแฟให้เป็นเครื่องดื่มที่สร้างแรงบันดาลใจ ด้วยการเปิดตัวแคมเปญระดับโลก "Make Your World" เมื่อต้นปีที่ผ่านมา ซึ่งได้เข้าถึงคนไทยแล้ว 59 ล้านคน เนสกาแฟพลิกโฉมแบรนด์จากการเป็นเครื่องดื่มประจำวันที่ทำให้ผู้คนตื่น มาเป็นเครื่องดื่มที่สร้างแรงบันดาลใจให้ทุกคนสร้างการเปลี่ยนแปลงที่มีคุณค่า สำหรับแคมแปญดังกล่าวบริษัทได้วางงบ 620 ล้านบาท ในการเดินหน้าสร้างความตื่นเต้นและสร้างการมีส่วนร่วมกับผู้บริโภคตลอดทั้งปีนี้ ในสื่อสารและสร้างแบรนด์ผ่านสื่อต่าง ๆ รวมถึงขยายขอบเขตแคมเปญ “Make Your World” ให้ครอบคลุมทุกกลุ่มสินค้า เน้นเปลี่ยนภาพลักษณ์จากเครื่องดื่มประจำวัน มาเป็นเครื่องดื่มที่สร้างแรงบันดาลใจ
สำหรับกลยุทธ์ที่สอง เนสกาแฟมุ่งมั่นมอบประสบการณ์การดื่มกาแฟชั้นเลิศด้วยนวัตกรรมและผลิตภัณฑ์ที่ปรับสูตรใหม่ เพื่อตอบสนองความต้องการที่เปลี่ยนไปของผู้บริโภคชาวไทย ล่าสุด เนสกาแฟได้เปิดตัวกาแฟกระป๋องพร้อมดื่มระดับพรีเมียม เนสกาแฟ โกลด์ อเมริกาโน่ และลาเต้ รวมทั้ง เนสกาแฟกระป๋องพร้อมดื่ม ฮันนีเลมอน ซึ่งได้รับการตอบรับที่ดีเยี่ยมจากผู้บริโภค ในช่วงครึ่งปีหลังนี้ เนสกาแฟวางแผนที่จะเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ เพื่อตอบโจทย์ความต้องการดื่มกาแฟเย็นที่มีรสชาติดีเยี่ยมเพื่อการบริโภคทั้งในบ้านและนอกบ้าน และด้วยการลงทุนและพัฒนานวัตกรรมผลิตภัณฑ์อย่างต่อเนื่อง เนสกาแฟจะช่วยผลักดันอุตสาหกรรมกาแฟของไทยให้เติบโตต่อไป
กลยุทธ์ที่สามเกี่ยวกับการนำความยั่งยืนมาเป็นหัวใจหลักของแบรนด์เนสกาแฟ เนสกาแฟจะมุ่งพัฒนาการปลูกกาแฟอย่างยั่งยืน ผ่านการเกษตรเชิงฟื้นฟู หรือ Regenerative Agriculture ภายใต้โครงการ “เนสกาแฟ แพลน 2030” ซึ่งเป็นโครงการด้านความยั่งยืนระดับโลกของเนสกาแฟ การเกษตรเชิงฟื้นฟูจะช่วยให้เกษตรกรพร้อมรับมือกับความเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ เพิ่มผลผลิตและคุณภาพของเมล็ดกาแฟ รวมทั้งปกป้องและฟื้นฟูความหลากหลายทางชีวภาพและทรัพยากรธรรมชาติ
นอกจากการขับเคลื่อนการเกษตรเชิงฟื้นฟู เนสท์เล่ยังให้ความช่วยเหลือแก่เกษตรกรในการให้ความรู้และการสนับสนุนด้านเทคนิคในการทำสวนกาแฟอย่างยั่งยืน รวมไปถึงการผนึกความร่วมมือกับองค์กรความร่วมมือระหว่างประเทศของเยอรมัน ประจำประเทศไทย หรือ GIZ ในการจัดทำหลักสูตร Farmer Business School ส่งเสริมเกษตรกรผู้ปลูกกาแฟให้มีแนวคิดของผู้ประกอบการเกษตรกรรม นอกจากนี้ เนสท์เล่ยังให้การสนับสนุนโครงการประกวดสุดยอดกาแฟไทย เพื่อส่งเสริมการใช้การเกษตรเชิงฟื้นฟูในสวนกาแฟให้มากขึ้น พร้อมทั้งพัฒนาต้นกล้ากาแฟที่เหมาะสำหรับการเพาะปลูกในประเทศไทย และได้กระจายต้นกล้ากาแฟพันธุ์ดีเหล่านี้ให้กับเกษตรกรมาแล้วเกือบ 4 ล้านต้น