นายไชย ไชยวรรณ กรรมการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) หรือ TLI กล่าวว่า ผลประกอบการของบริษัทฯ ณ วันที่ 30 กันยายน 2567 ว่า การดำเนินงานในช่วงไตรมาสที่ 3 ของปี 2567 บริษัทฯ มีกำไรสุทธิ 2,498 ล้านบาท หรือเติบโต 19.6% เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ส่งผลให้มีกำไรในช่วง 9 เดือนแรกของปี 8,399 ล้านบาท หรือเติบโต 8.7% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยบริษัทฯ มีกำไรจากการรับประกันภัยเติบโตถึง 5.8% ผลจากการมุ่งเน้นขายผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่าสูง และสามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้ครอบคลุม รวมถึงมีกำไรจากการลงทุนเพิ่มขึ้นถึง 16.8% เนื่องจากผลตอบแทนลงทุนที่สูงขึ้นและสภาวะตลาดที่ปรับตัวดีขึ้น ซึ่งบริษัทฯ มีการกระจายความเสี่ยงของพอร์ตการลงทุนอย่างระมัดระวัง เพื่อให้เกิดผลตอบแทนที่ยั่งยืนแก่ผู้ถือหุ้น โดย ณ วันที่ 30 กันยายน 2567 สินทรัพย์ลงทุนมากกว่า 80% ของสินทรัพย์ลงทุนทั้งหมด เป็นสินทรัพย์ประเภทตราสารหนี้
ขณะที่มูลค่ากำไรของธุรกิจใหม่ (Value of New Business : VONB) อยู่ที่ 5,178 ล้านบาท โดยอัตรากำไรของธุรกิจใหม่ (VONB Margin) มีอัตราสูงถึง 62.4% โดยมีเบี้ยประกันภัยรับรวมสูงถึง 60,307 ล้านบาทและมีอัตราส่วนความเพียงพอของเงินกองทุน หรือ CAR Ratio ณ วันที่ 30 กันยายน 2567 อยู่ที่ 409.8% ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ที่สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) กำหนดไว้อยู่ที่ 140% สะท้อนสถานะเงินทุนที่แข็งแกร่งอันเป็นรากฐานของการเติบโตอย่างยั่งยืน
ทั้งนี้ ไทยประกันชีวิตให้ความสำคัญกับประสิทธิภาพการดำเนินธุรกิจที่เข้มแข็งและยั่งยืน พร้อมนำหลักการ ESG ผนวกเข้ากับกลยุทธ์ทางธุรกิจในหลากหลายมิติ ซึ่งสะท้อนจากรางวัลต่างๆ ที่ได้รับ อาทิ รางวัลบริษัทประกันชีวิตที่มีการบริหารงานดีเด่น อันดับ 1 ประจำปี 2566 จากสำนักงาน คปภ., รางวัลบริษัทยอดเยี่ยมด้านประกันชีวิต ประจำปี 2567 จากวารสารการเงินธนาคาร, ได้รับตราสัญลักษณ์ประกาศเกียรติคุณ ESG Champion of Asia ประเภท Gold Emblem of Sustainability ซึ่งไทยประกันชีวิตเป็นบริษัทประกันภัยแห่งเดียวของเอเชีย ที่ได้รับตราสัญลักษณ์ในระดับ Gold สะท้อนความสำเร็จในการเป็นบริษัทประกันชีวิตแห่งความยั่งยืนที่พร้อมส่งมอบคุณค่าให้กับผู้มีส่วนได้เสียในทุกภาคส่วน