นายธีรพงศ์ จันศิริ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า จากผลกระทบจากความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ ภาวะเงินเฟ้อที่สูงขึ้น ไปจนถึงความต้องการของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ด้วยเหตุนี้เองเราต้องการสร้างโอกาสให้กับบริษัทให้มีความมุ่งมั่นที่จะบรรลุเป้าหมายยอดขาย 2.45 แสนล้านบาท (US$7billion) และเพิ่ม EBITDA เป็นสองเท่าภายในปี 2573 จาก 1.36 แสนล้านบาท (US$3.9 billion) ในปี 2567 และมีกำไรก่อนหักดอกเบี้ย ภาษีเงินได้ ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) เพิ่มขึ้น 100% จากประมาณ 14,000 ล้านบาท (US$400 million) เป็น 24,500 – 28,000 ล้านบาท (US$700-US$800 million) ภายในหกปีข้างหน้า เพื่อก้าวสู่การเป็นผู้นำระดับโลกในกลุ่มอุตสาหกรรมอาหารและโภชนาการเพื่อสุขภาพจากท้องทะเล
สำหรับกลยุทธ์เพื่อมุ่งสู่ปี 2573 ของไทยยูเนี่ยนแบ่งออกเป็น 3 แกนหลัก โดยมุ่งเน้นกลุ่มธุรกิจที่สำคัญเพื่อผลักดันการเติบโตของรายได้ กำไรขั้นต้น และ EBITDA โดยการเสริมสร้างความสามารถทางการแข่งขันของธุรกิจเดิม และธุรกิจใหม่ รวมถึงการควบรวมกิจการ เพื่อสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืนในระยะยาว ซึ่ง 3 แกนหลักนี้ ประกอบด้วย 1. เสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับธุรกิจหลัก: ได้แก่ อาหารทะเลแปรรูป อาหารแช่เย็น และอาหารสัตว์ เพื่อสร้างกระแสเงินสดที่จำเป็นสำหรับการขยายธุรกิจไปสู่ธุรกิจที่มีศักยภาพการเติบโตใหม่ ๆ 2. สร้างคลื่นลูกใหม่ของการเติบโต 3. มุ่งเน้นกลุ่มธุรกิจที่เติบโตเร็ว เช่น อาหารสัตว์เลี้ยง อาหารแช่แข็ง อาหารพร้อมทาน และอินกรีเดียนท์ ซึ่งไทยยูเนี่ยนเชื่อว่าจะยังคงขับเคลื่อนการเติบโตของผลกำไรได้อย่างต่อเนื่อง และ 4. การเปิดน่านน้ำใหม่: มุ่งเน้นการแสวงหาไอเดียและเทคโนโลยีใหม่ ๆ เช่น ลงทุนในธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ และโปรตีนทางเลือก เพื่อขับเคลื่อนการเติบโตของไทยยูเนี่ยนในอนาคต
ด้าน นายพอล เฮอร์โฮลซ์ ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายกลยุทธ์และทรานส์ฟอร์เมชั่น บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) เสริมว่า “กลยุทธ์เพื่อมุ่งสู่ปี 2573 ที่ประกอบด้วย 3 แกนหลัก เป็นปัจจัยสำคัญที่จะเร่งสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืนในระยะยาว เราต้องวางรากฐานที่แข็งแกร่ง โดยจะดำเนินงานผ่าน 2 โปรเจกต์ทรานส์ฟอร์เมชั่น ที่มีแผนงานที่ชัดเจนเพื่อสนับสนุนกลยุทธ์ดังกล่าว และผลักดันให้ความมุ่งมั่นของเราประสบความสำเร็จ ด้วยการดำเนินโปรเจกต์โซนาร์ ไทยยูเนี่ยนตั้งเป้าที่จะลดต้นทุนเฉลี่ยต่อปีได้ 2,625 ล้านบาท (US$75 million) ตั้งแต่ปี 2569 เป็นต้นไป ทั้งนี้ ประมาณ 40 เปอร์เซ็นต์ของเงินส่วนนี้จะถูกนำกลับมาลงทุนเพื่อเสริมสร้างความแข็งแกร่งและขยายธุรกิจต่อไป
สำหรับโปรเจกต์โซนาร์ มีเป้าหมายที่จะสร้างรูปแบบการดำเนินงานที่แข็งแกร่งสอดคล้องกับกลยุทธ์เพื่อมุ่งสู่ปี 2573 สร้างขีดความสามารถด้านการจัดซื้อและเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงานให้เกิดประโยชน์สูงสุด รวมถึงยกระดับขีดความสามารถทางดิจิทัลเพื่อสนับสนุนการเติบโตทางธุรกิจ และเตรียมพร้อมสำหรับการเดินหน้าโครงการดิจิทัลทรานส์ฟอร์มเมชั่นอย่างเต็มรูปแบบ ส่วนโปรเจกต์เทลวินด์ เป็นแผนการทรานส์ฟอร์มเมชั่นของกลุ่มธุรกิจอาหารสัตว์เลี้ยงที่มีการเติบโตอย่างรวดเร็ว โดยกำหนดเป้าหมายที่จะเพิ่มกำไรจากการดำเนินงาน ประมาณ 1,750 ล้านบาท ต่อปี สำหรับธุรกิจอาหารสัตว์เลี้ยงตั้งแต่ปี 2570 เป็นต้นไป ซึ่งกุญแจสู่สำเร็จ คือ ความเชี่ยวชาญทางธุรกิจและความเข้าใจอย่างลึกซึ้งต่อตลาด รู้ลึก รู้จริงถึงความต้องการของลูกค้า ควบคู่กับการสร้างขีดความสามารถใหม่ ๆ เพิ่มประสิทธิภาพด้านการจัดซื้อและกระบวนการผลิต ในขณะที่โปรเจกต์เทลวินด์จะมุ่งเน้นไปที่การเร่งขับเคลื่อนการเติบโตจากการเพิ่มขีดความสามารถของธุรกิจในปัจจุบัน บริษัท ไอ-เทล คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) จะมุ่งสร้างการเติบโตจากการควบรวมกิจการ โดยมีเป้าหมายที่จะเพิ่มรายได้สามเท่าอยู่ที่ประมาณ 52,500 ล้านบาท ภายในปี 2573