นายวีรสิทธิ์ สินเจริญกุล กรรมการผู้จัดการใหญ่และกรรมการบริหาร บริษัท ศรีตรังแอโกรอินดัสทรี จำกัด (มหาชน) หรือ STA ผู้นำธุรกิจยางธรรมชาติครบวงจรรายใหญ่ที่สุดของโลกและผู้ผลิตถุงมือยางอันดับหนึ่งของประเทศไทย เปิดเผยว่า บริษัทฯ เตรียมออกและเสนอขายหุ้นกู้ชนิดระบุชื่อผู้ถือ ประเภทไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน และมีผู้แทนผู้ถือหุ้นกู้ โดยเป็นการเสนอขายต่อประชาชนเป็นการทั่วไป จำนวน 4 ชุด ประกอบด้วย 1. หุ้นกู้อายุ 3 ปี อัตราดอกเบี้ย 3.40% ต่อปี 2. หุ้นกู้อายุ 5 ปี อัตราดอกเบี้ย 3.70% ต่อปี 3. หุ้นกู้อายุ 8 ปี อัตราดอกเบี้ย 3.85% ต่อปี และ 4. หุ้นกู้อายุ 10 ปี อัตราดอกเบี้ย 4.00% ต่อปี กำหนดจ่ายดอกเบี้ยทุก ๆ 6 เดือน ทั้งนี้ ผู้ที่สนใจลงทุนหุ้นกู้ STA สามารถติดต่อผ่านธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) และธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) ได้ทุกสาขา
สำหรับอันดับความน่าเชื่อถือของหุ้นกู้ STA อยู่ที่ระดับ “A-” แนวโน้ม “คงที่” (Stable) โดยบริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด เมื่อวันที่ 25 พฤศจิกายน 2567 สะท้อนสถานะการเป็นผู้นำในธุรกิจยางธรรมชาติของบริษัทฯ รวมถึงความสามารถและประสบการณ์ของผู้บริหาร ตลอดจนความสามารถในการแข่งขันจากกลยุทธ์การขยายธุรกิจในแนวดิ่ง โดยทริสระบุด้วยว่า ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2567 ผลการดำเนินงานของบริษัทฯ ประสบผลสำเร็จมากกว่า 80% ของประมาณการเต็มปีที่ทริสคาดการณ์ไว้ มีปัจจัยสำคัญมาจากความต้องการใช้ยางจากผู้ผลิตยางล้อที่แข็งแกร่ง โดยรายได้จากการดำเนินงานของบริษัทฯ อยู่ที่ 8.13 หมื่นล้านบาท กำไรก่อนดอกเบี้ย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) อยู่ที่ 5.3 พันล้านบาท และทริสคาดว่า ผลการดำเนินงานทั้งปีน่าจะเกินกว่าที่คาดการณ์ไว้ โดย EBITDA จะเพิ่มขึ้นไปอยู่ที่ประมาณ 7 พันล้านบาท
ปัจจุบัน บมจ. ศรีตรังแอโกรอินดัสทรี ประกอบธุรกิจผลิตและจัดจำหน่ายยางธรรมชาติแบบครบวงจร (Full Supply Chain) ในหลายประเทศ เริ่มตั้งแต่ธุรกิจต้นน้ำ ได้แก่ การทำสวนยางพาราในประเทศไทย ธุรกิจกลางน้ำ ประกอบด้วย การผลิตและจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ยางธรรมชาติ ทั้งยางแท่ง (TSR) ยางแผ่นรมควัน (RSS) และน้ำยางข้น (Concentrated Latex) ไปจนถึงธุรกิจปลายน้ำ ได้แก่ การผลิตและจำหน่ายถุงมือยาง รวมถึงสินค้าสำเร็จรูป อาทิ ท่อไฮดรอลิกแรงดันสูง โดยบริษัทฯ มีฐานะทางการเงินที่แข็งแกร่งและสามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนที่มีต้นทุนดอกเบี้ยในระดับต่ำ เนื่องจากได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถือของบริษัทฯ ในระดับที่แข็งแกร่ง ขณะที่ผลการดำเนินงานของบริษัทฯ เติบโตอย่างมีนัยสำคัญ โดยในไตรมาสที่ 3 ปี 2567 บริษัทฯ มีรายได้จากการขายและการให้บริการอยู่ที่ 31,618.5 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 22.5% จากไตรมาสก่อนหน้า และเพิ่มขึ้น 87.3% จากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน และมีกำไรสุทธิ 517.3 ล้านบาท ส่วนงวด 9 เดือนปี 2567 บริษัทฯ มีกำไรสุทธิ 816.0 ล้านบาท จากราคาและปริมาณขายยางพาราที่สูงขึ้น ประกอบกับการจำหน่ายยาง EUDR (EU Deforestation free Regulation) ซึ่งได้มูลค่าสูงกว่ายางปกติ