20 เมษายนที่ผ่านมาเป็นวันคล้ายวันเกิดของ "อาจารย์หม่อม" ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช อดีตนายกรัฐมนตรี ที่เคยถูกเรียกขานจากบรรดาสื่อในยุคนั้นว่าเป็น "เสาหลักประชาธิปไตย" ที่ "ป๋าเปรม" พล อ.เปรม ติณสูลานนท์ อดีตนายกรัฐมนตรีที่ก้าวขึ้นมาครองตำแหน่งด้วยการยึดอำนาจให้ความเคารพนับถือและเข้าพบเพื่อปรึกษาหารืออยู่เสมอ ๆ
แต่ก่อนหน้านั้น "อาจารย์หม่อม" ก็สร้างปรากฏการณ์ให้กับการเมืองของประเทศด้วยการนำพรรคกิจสังคมขึ้นมาบริหารประเทศด้วยคะแนนเพียง 18 เสียง เป็นครั้งแรกและครั้งเดียวของพรรคเจ้าสัว สร้างความชอกช้ำคับแค้นใจให้กับพรรคประชาธิปัตย์ในยุคที่ "หม่อมพี่" ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช อดีตนายกรัฐมนตรี 2 สมัย เป็นหัวหน้าพรรค (หลังจาก "อาจารย์หม่อม" พ้นตำแหน่ง "หม่อมพี่" ก็กลับมาเป็นนายกฯ สมัยที่ 3)
แม้จะครองอำนาจแค่ 1 ปี 37 วัน แต่ "อาจารย์หม่อม"ก็สร้างคุณูปการอันยิ่งใหญ่ให้กับประเทศไทยด้วยการเจริญสัมพันธไมตรีกับจีน หลังถูกตัดขาดในช่วงสงครามเย็นยุคจอมพล ป. พิบูลสงครามเรืองอำนาจ
อีกคุณูปการคือ เงินผัน ที่จัดสรรเงินงบประมาณไปสร้างงานให้ชาวบ้าน ซึ่งต่อมา อดีต นายกฯทักษิณได้นำแนวทางไปใช้ตั้งเป็นกองทุนหมู่บ้านให้ชาวบ้านกู้ แต่มาถึงวันนี้ไม่รู้ว่ากองทุนหมู่บ้าน ยังเหลือทุนให้บริหารอยู่เท่าไหร่
อีกคุณูปการที่นึกได้ก็คือ รวมกิจการรถเมล์ของเอกชนมาเป็นของรัฐ ซึ่งต่อมาก็ตั้งเป็น องค์การขนส่งมวลกรุงเทพ โดยเจตนาของ “อาจารย์หม่อม” ท่านต้องการให้เป็นหน่วยงานสนองนโยบายรัฐให้บริการประชาชน แต่ต่อมาก็มีการเปิดให้เอกชนมาร่วมบริการ ทำให้ ขสมก.ที่มีการดำเนินงานไม่ต่างไปจากรัฐวิสาหกิจ ต้องประสบกับการขาดทุนมาต่อเนื่องสะสมไว้กว่า 1.3 แสนล้านบาท
อีกฉายาของ “อาจารย์หม่อม” ที่สื่อมักจะเอ่ยถึงท่าน คือ “เฒ่าสารพัดพิษ” เพราะกลการเมืองที่ท่านนำเสนอให้ “ป๋าเปรม” นำไปพิจารณาปรับใช้ในการบริหารประเทศนั้นแยบยลและมีมากหมาย ว่ากันว่า หนึ่งในกลการเมืองที่ “ป๋าเปรม” นำไปใช้คือการสั่งปลด “บิ๊กซัน” พล อ.อาทิตย์ กำลังเอก ที่ขณะนั้นควบเก้าอี้ ผู้บัญชาการทหารสูงสุดและผู้บัญชาการทหารบก และกำลังกดดันให้ “ป๋าเปรม” ต่ออายุราชการเพื่อยืดระยะเวลาคุมขุมกำลังออกไป
อีกวีรกรรมที่ “อาจารย์หม่อม” ต้องเผชิญคือ การที่ทหารพรานจากค่ายปักธงชัยที่ยกย่อง พล อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ผู้บัญชาการทหารบกขณะนั้นเป็นพ่อราว 200 คนยกขบวนไปบุกบ้านท่านที่ซอยสวนพลู โดยชูป้าย “เฒ่าสารพัดพิษ”ไปด้วย
คนที่อยู่ในเหตุการณ์เล่าให้ฟังภายหลังว่า ตอนที่ทหารพรานบุประชิดรั้วบ้านซอยสวนพลูยันกันไปมากับตำรวจทีรักษาการอยู่ภายในบ้านนั้น “อาจารย์หม่อม” ยังนั่งทำงานอยู่ใต้ถุนบ้านเรือนไทย
“อาจารย์หม่อม” เป็นผู้ที่มีความจงรักภักดีต่อ สถาบันพระมหากษัตริย์ เป็นอย่างยิ่ง ทุกคนในสยามรัฐต่างเข้าใจในข้อนี้เป็นอย่างดี ไม่ว่าจะเป็นนักข่าวหรือคอลัมนิสต์ ในใจจะคิดเห็นอย่างไรก็คิดกันไป แต่ในข้อเขียนที่เผยแพร่จะต้องไม่มีการล่วงล้ำถึง สถาบันชาติ ศาสนา และ พระมหากษัตริย์เป็นอันขาด
9 ตุลาคม 2538 “อาจารย์หม่อม” ก็จากไปในวัย 84 ปี ไม่มีใครพูดให้ได้ยินว่าในบั้นปลายชีวิตของท่าน ความรักต่อประเทศชาติ จะลดลงไปหรือเพิ่มขึ้นมากน้อยเพียงใด
แต่ที่ผู้เขียนสนใจมีเพียงว่า ถ้าหาก “อาจารย์หม่อม” ยังมีชีวิตอยู่ ท่านจะคิดอย่างไรกับสังคมไทยในปัจจุบัน โดยเฉพาะสังคมการเมือง ยุคที่มีสตรีเป็นนายกรัฐมนตรี มีพ่อที่เป็นอดีตนายกรัฐมนตรีเป็นที่ปรึกษาช่วยเดินเกมการเมืองเฉียบคมระดับที่น่าจะยกให้เป็น “พ่อมดการเมือง”
ขอไปจุดธูปถาม “อาจารย์” ก่อนนะ!!!!