ถอดบทเรียน 8 ปีภาษียาสูบไทย:ความผิดพลาดที่ยังไม่ได้รับการแก้ไข

วันศุกร์ที่ 30 พฤษภาคม พ.ศ. 2568

ถอดบทเรียน 8 ปีภาษียาสูบไทย:ความผิดพลาดที่ยังไม่ได้รับการแก้ไข


กระทรวงการคลังคิดหนัก ยิ่งปรับเพิ่มภาษีบุหรี่ รายได้ภาษียิ่งลด แต่คนสูบบุหรี่กลับไม่ลดลงอย่างที่คาดไว้ ในขณะที่การยาสูบแห่งประเทศไทย (ยสท.) เผชิญศึกหนักจากการแข่งขันที่รุนแรงในตลาดถือเป็นโจทย์ใหญ่ที่ต้องเร่งแก้ไขจากปัญหาโครงสร้างภาษีสรรพสามิตยาสูบที่ฝังรากลึกมานานตั้งแต่เริ่มใช้โครงสร้างภาษียาสูบ 2 อัตราในปลายปี 2560 และช้ำหนักเมื่อปรับขึ้นอัตราภาษีอีกครั้งปลายปี 2564 ปัญหาที่ทั้งอุตสาหกรรมต้องแบกรับตลอด 8 ปี เป็นหลักฐานชั้นดีที่บอกกรมสรรพสามิตและกระทรวงการคลังว่า ถึงเวลาแก้ไขในสิ่งที่ผิดพลาด และเรียนรู้ที่จะไม่ทำให้ประวัติศาสตร์ซ้ำรอยอีกครั้ง

โครงสร้างภาษีแบบหลายอัตราภัยร้ายทำลายธุรกิจ

การยาสูบแห่งประเทศไทย ระบุในรายงานประจำปีฉบับล่าสุดปี 2567 ว่าโครงสร้างภาษีบุหรี่ที่ซับซ้อนเป็นภัยต่อการดำเนินธุรกิจอย่างยิ่ง เนื่องจากทำให้บุหรี่ของ ยสท. สูญเสียความสามารถในการแข่งขัน ไม่สามารถตั้งราคาที่ยืดหยุ่นเพิ่มอัตราการทำกำไรได้ และยังไม่สามารถสู้กับบุหรี่นอกที่มีภาพลักษณ์ที่ดีกว่าได้ด้วย ยสท. เคยมีรายได้รวมกว่า 6.8 หมื่นล้านบาท และมีกำไรสูงถึง 9.3 พันล้านบาทในปี 2560 แต่หลังประกาศปรับโครงสร้างภาษียาสูบครั้งใหญ่ ซึ่งมีผลบังคับใช้ในปีงบฯ 2561 ทำให้รายได้และผลกำไรหล่นฮวบ ฉุดกำไรลงแตะ 843 ล้านบาทเมื่อเริ่มใช้ในปีแรก อัตราการทำกำไรลดจาก 45.2% เหลือเพียง 4% จากภาระภาษีที่สูงมาก และภายหลังการปรับขึ้นอัตราภาษีอีกครั้งภายใต้โครงสร้างภาษี 2 เทียร์ ซึ่งมีผลในปีงบฯ 2565 เท่ากับการปิดเกมบุหรี่ไทย ทำกำไรดิ่งลงเหลือ 121 ล้านบาททันทีในปี 2565 แม้จะยังส่วนแบ่งการตลาดมากกว่าครึ่งหนึ่งของตลาดิ แต่อัตราการทำกำไรเหลือเพียง 0.8% จากโครงสร้างภาษีที่มีภาระสูงเป็นอันดับหนึ่งของประเทศในกลุ่มอาเซียน

ชาวไร่ยาสูบ รับจบทุกการเปลี่ยนแปลง

ขณะที่ภาพรวมการบริโภคของอุตสาหกรรมแม้จะลดลงต่อเนื่องเช่นกัน จาก 34,345 ล้านมวน ในปี 2560 เหลือเพียง 24,857 ล้านมวน ในปี 2567 แต่ก็ลดลงในอัตราที่น้อยกว่าการทรุดตัวของยอดขายของ ยสท. ที่การปรับโครงสร้างภาษีเป็นแบบ 2 อัตรา มีผลทำให้ ยสท. ขายบุหรี่ได้น้อยลงจาก 28,808 ล้านมวน เหลือ เพียง 11,719 ล้านมวน ลดลงกว่า 51% ส่งผลให้เกษตรกรชาวไร่ยาสูบกว่า 20,000 คน ต้องลงเรือลำเดียวกันไปด้วย จากผลกระทบกับปริมาณการรับซื้อใบยาสูบจากชาวไร่ยาสูบทุกสายพันธุ์ ที่ถูกตัดโควตาทันที 50% ต้อนรับโครงสร้างภาษีแบบใหม่ ทำให้รายได้จากการขายใบยาสูบลดลงกว่า 1.1 พันล้านบาท ชาวไร่ยาสูบจำนวนมากต้องสละอาชีพที่เคยสร้างรายได้ที่มั่นคงกว่าทศวรรษ 

รายได้ภาษีสรรพสามิตยาสูบดิ่งเหวโดยไม่มีการแก้ไข

ยอดขายบุหรี่มีผลโดยตรงกับการจัดเก็บภาษีสรรพสามิตยาสูบ นอกจากนี้ยังมีการปรับขึ้นอัตราภาษีสรรพสามิตและเก็บภาษีใหม่ ๆ เพิ่มเติม ได้แก่ ภาษีมหาดไทยและภาษีผู้สูงอายุ จนปัจจุบันบุหรี่ราคาถูกในตลาดต้องปรับราคาขึ้นไปขายกันที่ซองละ 70 บาท ก่อนการปรับโครงสร้างภาษีเป็นแบบ 2 อัตรานั้น รัฐมีรายได้จากสินค้ายาสูบรวม 8 หมื่นล้านบาท แต่ในปี 2567 กลับจัดเก็บรายได้ลดลงอยู่ในระดับ 6 หมื่นล้านบาท เมื่อพิจารณาการจัดเก็บรายได้ภาษีสรรพสามิตยาสูบในงบฯ 68 นี้ ก็ยังคงลดลงเรื่อย ๆ โดยช่วง 6 เดือนแรก (ต.ค.-มี.ค.) สามารถจัดเก็บได้เพียง 2.2 หมื่นล้านบาท ต่ำกว่าที่เก็บได้ปีที่แล้ว 4 พันล้านบาท และน่าจะเป็นรายได้ภาษีสรรพสามิตยาสูบได้ต่ำสุดในรอบ 15 ปี ในปีงบประมาณ 2568 นี้ แต่กลับไม่มีแผนการจัดการใด ๆ จากกรมสรรพสามิตและกระทรวงการคลังที่จะพยุงรายได้ภาษีสรรพสามิตไว้
 
จำนวนผู้สูบบุหรี่โรงงานเพิ่มขึ้นสวนทางการเพิ่มขึ้นของภาระภาษี

ปี 2560 มีผู้สูบบุหรี่ทุกประเภท (บุหรี่โรงงาน ยาเส้น และบุหรี่อื่น ๆ ) ในไทย 10.7 ล้านคน ต่อมาในปี 2564 ผู้สูบบุหรี่ทุกประเภทลดลงเหลือ 9.9 ล้านคนในปี 2564 แต่ในปี 2567 สำนักงานสถิติแห่งชาติพบว่าผู้สูบบุหรี่ทุกประเภทมีจำนวน 9.8 ล้านคน สะท้อนว่าการปรับขึ้นอัตราภาษีปี 2564 ไม่ได้ส่งผลให้จำนวนผู้สูบบุหรี่ลดลง แต่ที่แย่ไปกว่านั้น หากดูการบริโภคสินค้าบุหรี่ซิกาแรตหรือบุหรี่โรงงาน ซึ่งเป็นสินค้าหลักที่สร้างรายได้ภาษีสรรพสามิตหลักจะพบว่า มีคนสูบบุหรี่ซิกาแรตเพิ่มขึ้น 2.2 ล้านคน สวนทางกับภาพรวมตลาดบุหรี่ถูกกฎหมายและยอดขายของ ยสท. ที่ลดลงเรื่อย ๆ สะท้อนว่าบุหรี่โรงงานที่ผู้บริโภคนิยมเพิ่มขึ้นคือบุหรี่เถื่อนที่เกือบจะกลายเป็น 1 ใน 4 ของยอดขายในตลาดบุหรี่ทั้งหมด ในขณะที่คนสูบยาเส้นและบุหรี่ไฟฟ้าก็เพิ่มขึ้นเช่นกัน ดังนั้น การปรับขึ้นอัตราภาษีบุหรี่ที่ผ่านมาไม่ได้ช่วยลดจำนวนคนสูบบุหรี่ แต่กลับส่งผลกระทบต่อยอดขายบุหรี่ถูกกฎหมาย กระทบ ยสท. เกษตรกร และภาษีสรรพสามิต

ความผิดพลาดที่ต้องแก้ไขและไม่ทำผิดซ้ำสอง

บทเรียนของการใช้โครงสร้างภาษียาสูบแบบ 2 อัตราตลอด 8 ปีที่ผ่านมา สะท้อนปัญหา 2 ประเด็น ได้แก่ โครงสร้างภาษีที่ซับซ้อนแบบ 2 อัตรา ที่แบ่งตามกลุ่มราคาสินค้า ถูกออกแบบมาตามความเชื่อเดิมที่ว่าบุหรี่ไทยและบุหรี่ต่างประเทศขายในราคาที่แตกต่างกัน ดังนั้น การเก็บภาษีในอัตราที่น้อยกว่าสำหรับบุหรี่ราคาถูกจะช่วยเสริมสร้างความได้เปรียบทางการขังขันให้กับบุหรี่ไทย แต่สิ่งที่เกิดขึ้นกลับไม่เป็นไปตามคาด เพราะไม่มีใครอยากเสียภาษีในอัตราที่สูง การแข่งขันจึงกระจุกที่ตลาดบุหรี่ราคาประหยัด ซึ่งเสียภาษีในอัตราที่ต่ำกว่า ทำให้นอกจากโครงสร้างภาษี 2 อัตราไม่มีประสิทธิภาพในสร้างรายได้และลดคนสูบบุหรี่ กลับทำร้ายผู้ประกอบการและชาวไร่ยาสูบ รวมทั้งจากการที่อัตราภาษีที่ปรับเร็วและแรงจนทำให้ภาระภาษีสูงจนเกินไปก่อให้เกิดผลร้ายกับอุตสาหกรรมไทย ธุรกิจขายบุหรี่ไม่มีกำไร ยสท. ต้องไปหารายได้จากการประกอบธุรกิจอื่น และคนที่ไม่อยากเลิกสูบบุหรี่ต้องหันไปหาสินค้าทดแทนที่มีราคาถูกกว่าและสามารถหาซื้อได้ง่ายในตลาด ทำให้รัฐสูบเสียรายได้ แต่คนสูบไม่ลด โดยเห็นได้จากมูลค่าตลาดบุหรี่จากข้อมูลค่าใช้จ่ายของ GDP ที่ยังคงมีขนาดประมาณ 1.1 แสนล้านบาท ในปี 2567 เพิ่มขึ้น 1 หมื่นล้านบาท จากปี 2560 

การเร่งปรับโครงสร้างภาษียาสูบใหม่ให้มีความเรียบง่ายและไม่ซับซ้อนจึงมีความจำเป็น เนื่องจากมีการศึกษาไว้อย่างถี่ถ้วนไว้แล้วว่า การใช้โครงสร้างภาษีแบบอัตราเดียวที่ไม่ซับซ้อนจะมีผลดีต่อการจัดเก็บภาษีของรัฐและการควบคุมการบริโภคบุหรี่ รวมทั้งช่วยบรรเทาผลกระทบกับอุตสาหกรรมทุกภาคส่วน จึงน่าจะเป็นคำตอบที่จะช่วยแก้ปัญหาที่เกิดตลอด 8 ปีนี้ได้ ในขณะที่การปกป้องผู้ประกอบการในประเทศโดยการใช้โครงสร้างภาษีหลายอัตราดังที่เป็นอยู่ในปัจจุบันก็น่าจะพิสูจน์แล้วว่าไม่มีประสิทธิภาพในการปกป้อง ยสท. ได้ แถมส่งให้เกิดผลกระทบอย่างหนักในอัตราที่มากกว่าการทรุดตัวของตลาดบุหรี่โดยรวมอีกด้วย ยิ่งในสถานการณ์การค้าระหว่างประเทศที่มีความอ่อนไหวสูงในเรื่องของการกีดกันทางการค้าระหว่างประเทศ คงน่าจะหมดยุคที่หน่วยงานชั้นแนวหน้าอย่างกระทรวงการคลังจะยังคิดใช้โครงสร้างภาษีมาปกป้องผู้ประกอบการรายใดรายหนึ่งของประเทศต่อไป 

กระทรวงการคลังจึงควรเร่งปรับโครงสร้างภาษียาสูบให้มีประสิทธิในการบรรลุวัตถุประสงค์ของภาครัฐ มีความโปร่งใส และส่งเสริมการแข่งขันที่เป็นธรรม สอดคล้องกับแผนปฏิรูปภาษีครั้งใหญ่ซึ่งรวมถึงภาษีสรรพสามิต เพื่อเพิ่มสัดส่วนรายได้จีดีพีจาก 12-13% เป็น 18% เพื่อให้รัฐบาลมีรายได้เพิ่มขึ้น และมุ่งสู่การจัดทำงบประมาณแบบสมดุล รวมทั้งให้สมกับการที่ประเทศไทยได้ยื่นหนังสือแสดงเจตจำนงในการเข้าเป็นสมาชิก OECD ซึ่งจำเป็นต้องมีการยกระดับกฎหมายและกฎระเบียบให้มีความสอดคล้องกับมาตรฐานสากลมากยิ่งขึ้น เพื่อสร้างโอกาสที่เท่าเทียมให้ผู้ประกอบการทุกกลุ่มอย่างยั่งยืน เพราะหากกระทรวงการคลังและกรมสรรพสามิตยังไม่ดำเนินการใด ๆ รายได้ภาษีสรรพสามิตยาสูบจะยิ่งลดลงเรื่อย ๆ และคงไม่มีวันที่จะกลับคืนมาเหมือนเดิมได้



บริษัท สมาร์ท โกลด์ มีเดีย กรุ๊ป จำกัด SMART GOLD MEDIA GROUP CO.,LTD. ติดต่อสอบถาม โทร : 0893284192 , ID Line : @siamturakij และ ฝ่ายโฆษณา siamturakijadvertising@gmail.com
© 2013 สยามธุรกิจ