นายนิกร แสงเกตุ ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตรที่ 8 สุราษฎร์ธานี (สศท.8) สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร (สศก.) เปิดเผยว่า ภาคใต้เป็นแหล่งเพาะปลูกสินค้าเกษตรหลายชนิดที่มีความสำคัญทางเศรษฐกิจของประเทศ โดยเฉพาะมังคุด เป็นพืชเศรษฐกิจที่มีการส่งออกและสร้างรายได้ให้ประเทศในแต่ละปีเป็นจำนวนมาก โดยสถานการณ์มังคุดของ 14 จังหวัดภาคใต้ ปี 2568 (ข้อมูลจากคณะทำงานย่อยเพื่อพัฒนาระบบข้อมูลและโลจิสติกส์ภาคใต้ ครั้งที่ 2/2568 ณ พฤษภาคม 2568) คาดว่าจะมีเนื้อที่ให้ผล 224,806 ไร่ ลดลงจากปีที่ผ่านมาที่มี 226,931 ไร่ (ลดลง 2,125 ไร่ หรือร้อยละ 0.94) เนื่องจากเกษตรกรทยอยโค่นต้นมังคุดที่ปลูกผสมกับทุเรียนและไม้ผลอื่น ๆ เพื่อดูแลทุเรียนซึ่งเป็นพืชหลักหรือปลูกพืชอื่นที่มีราคาดี ปริมาณผลผลิต 109,697 ตัน ลดลงจากปีที่ผ่านมาที่มี 119,305 ตัน (ลดลง 9,608 ตัน หรือร้อยละ 8.05) เนื่องจากฝนตกในช่วงดอกบานทำให้ดอกร่วงและแตกยอดอ่อน ซึ่งผลผลิตมังคุดของภาคใต้ในฤดูจะออกสู่ตลาดช่วงเดือนมิถุนายน - ตุลาคม 2568 จำนวน 86,997 ตัน คิดเป็นร้อยละ 79 และมังคุดนอกฤดูอีกร้อยละ 21 ทั้งนี้ มังคุดของภาคใต้ พบปลูกมากที่สุดในพื้นที่จังหวัดนครศรีธรรมราช มีเนื้อที่ให้ผล 93,567 ไร่ คิดเป็นร้อยละ 42 ของเนื้อที่ให้ผลมังคุดในพื้นที่ภาคใต้ทั้งหมด สร้างมูลค่าให้จังหวัดปีละ 1,217 ล้านบาท
สถานการณ์การผลิตและตลาดมังคุดของภาคใต้ที่ผ่านมา พบว่า เกษตรกรส่วนใหญ่จำหน่ายผลผลิตมังคุด ในรูปแบบผลสดแบบคัดเกรด คละขนาด และตกเกรด ซึ่งผลผลิตแบบตกเกรดมาจากปัจจัยหลายด้าน อาทิ ผลผลิตเน่าเสียง่าย สุกเร็ว สภาพอากาศที่แปรปรวน ผลผลิตเสียหายระหว่างเก็บเกี่ยวและขนส่ง ส่งผลให้เกิดของเหลือทิ้งที่เป็นวัสดุเกษตร (Agricultural Waste) จำนวนมากตามไปด้วย ซึ่งผลมังคุดประกอบด้วยเปลือกแข็งประมาณร้อยละ 17 เปลือกอ่อน ร้อยละ 48 เนื้อมังคุดร้อยละ 30 ขั้วร้อยละ 4 และส่วนที่เกิดการสูญเสียร้อยละ 1 ในแต่ละปีคาดว่ามีวัสดุเหลือทิ้งจากมังคุด ร้อยละ 65 ของปริมาณผลผลิตมังคุดที่ออกสู่ตลาดจำหน่ายภายในประเทศ ซึ่ง สศท.8 ได้ทำการศึกษาวิจัยเกี่ยวกับห่วงโซ่คุณค่าวัสดุเหลือใช้จากมังคุดของวิสาหกิจชุมชน ในพื้นที่จังหวัดนครศรีธรรมราช ปี 2567 เนื่องจากเล็งเห็นว่ามังคุดเป็นสินค้าเกษตรสำคัญที่มีมูลค่าสูงทั้งในระดับประเทศและเชิงพื้นที่เพื่อขับเคลื่อนแนวทางในการพัฒนาเศรษฐกิจภาคเกษตร ให้เกิดประสิทธิภาพตามแนวทาง BCG Model ตลอดจนเป็นแนวทางในการส่งเสริมและพัฒนาให้เกษตรกรได้รับผลตอบแทนที่เพิ่มขึ้นและมีความมั่นคงในอาชีพ สอดคล้องกับนโยบายการพัฒนาประเทศไทยด้วยโมเดลเศรษฐกิจสู่การพัฒนาที่ยั่งยืน
จากผลการศึกษาของ สศท.8 โดยการลงพื้นที่เก็บข้อมูลวิสาหกิจชุมชนผู้รวบรวมแปรรูปมังคุดในพื้นที่จังหวัดนครศรีธรรมราช จำนวน 5 แห่ง ที่มีการรับซื้อมังคุดทั้งจากเกษตรกรชาวสวนมังคุดที่เป็นสมาชิกกลุ่มและเกษตรกรทั่วไป และนำผลผลิตมังคุดในฤดูช่วงที่ราคาตกต่ำมาแปรรูป โดยขับเคลื่อนการดำเนินงานภายใต้ BCG Model แปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์สร้างมูลค่าด้วยกระบวนการทางเทคโนโลยีและนวัตกรรม สำหรับภาพรวมการดำเนินงานของกลุ่มพบว่า กลุ่มเป็นผู้รวบรวมและรับซื้อวัสดุเหลือใช้จากมังคุด ได้แก่ มังคุดผลดำ ตกเกรด และเปลือกมังคุดเพื่อนำมาแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ โดยแบ่งสัดส่วนเป็น ร้อยละ 85 รับซื้อจากเกษตรกรสมาชิกกลุ่ม รองลงมา ร้อยละ 12 รับซื้อผลผลิตจากเกษตรกรทั่วไป และอีกร้อยละ 3 รับซื้อผลผลิตจากพ่อค้ารวบรวมมังคุดในพื้นที่ โดยพบว่าปริมาณการใช้เปลือกมังคุดสด 1 กิโลกรัม สามารถนำไปแปรรูปเป็นผงเปลือกมังคุด ได้ 0.83 กิโลกรัม สร้างรายได้ 361 บาท/กิโลกรัม หรือรายได้สุทธิ (กำไร) 184 บาท/กิโลกรัม ผลิตสบู่ ได้ 3.33 กิโลกรัม สร้างรายได้ 188 บาท/กิโลกรัม หรือรายได้สุทธิ (กำไร) 113 บาท/กิโลกรัม และผลิตน้ำหมักชีวภาพได้ 10 กิโลกรัม สร้างรายได้ 10 บาท/กิโลกรัม หรือรายได้สุทธิ (กำไร) 5 บาท/กิโลกรัม ด้านสถานการณ์ตลาด ส่วนใหญ่ร้อยละ 54 จำหน่ายผลิตภัณฑ์ให้แก่ลูกค้าโดยตรงผ่านช่องทางหน้าร้าน รองลงมาร้อยละ 35 จำหน่ายออนไลน์ผ่าน Facebook ของกลุ่มและของเกษตรกรเอง อาทิ วิสาหกิจชุมชนกลุ่มแปรรูปไม้ผลต้นน้ำตาปี วิสาหกิจชุมชนท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ต้นน้ำกลาย กลุ่มบ้านวิสาหกิจชุมชนบ้านสมุนไพรคีรีวง ร้อยละ 6 จำหน่ายให้ผู้ประกอบการโรงแรมรีสอร์ทในพื้นที่ภาคใต้ และอีกร้อยละ 5 จำหน่ายในการออกบูทของหน่วยงานภาครัฐ โดยจากการแปรรูปวัสดุเหลือใช้จากมังคุดในทุกผลิตภัณฑ์สร้างรายได้ให้กลุ่มเฉลี่ย 940,500 บาท/ปี
ทั้งนี้ วิสาหกิจชุมชนผู้รวบรวมแปรรูปมังคุดในพื้นที่จังหวัดนครศรีธรรมราช ตั้งเป้ามุ่งเน้นการพัฒนาผลิตภัณฑ์ ให้ได้มาตรฐาน อย. อย่างไรก็ตาม ในส่วนของ สศท.8 ยังให้ข้อเสนอแนะเพื่อเป็นแนวทางในการพัฒนากลุ่ม คือ การสร้างความร่วมมือและการเชื่อมโยงเครือข่ายระหว่างกลุ่มกับเครือข่ายผู้ผลิตและแปรรูปวัสดุเหลือใช้จากมังคุดในจังหวัด ในขณะที่หน่วยงานภาครัฐควรส่งเสริมให้กลุ่มจัดการผลผลิตมังคุดตกเกรดในช่วงที่ราคาตกต่ำด้วยการนำไปแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ แทนการกำจัดทิ้ง ประชาสัมพันธ์ให้ความรู้เกี่ยวกับประโยชน์และวิธีการแปรรูปผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ ที่ตลาดต้องการ ตลอดจนสนับสนุนเครื่องมืออุปกรณ์ในการแปรรูปวัสดุเหลือใช้ให้กลุ่มที่เข้มแข็งเพื่อช่วยเพิ่มศักยภาพในจัดการเพิ่มมูลค่าวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตร ซึ่งสอดคล้องกับแนวทางการพัฒนาสินค้าเกษตรมูลค่าสูงเพื่อเพิ่มรายได้เกษตรกร รวมทั้งการพัฒนาเศรษฐกิจภาคเกษตรให้เกิดประสิทธิภาพตามแนวทาง BCG Model อีกด้วย สำหรับท่านที่สนใจรายละเอียดผลการวิจัยเชิงลึก สอบถามข้อมูลได้ที่สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตรที่ 8 โทร. 0 7731 1373 หรืออีเมล Zone8@oae.go.th