การวางแผนทางการเงินส่วนบุคคล เกิดจากความจำเป็นที่ บุคคลโดยทั่วไป มีกำหนดการเกษียณอายุ ซึ่งหมายถึงการขาดรายได้ประจำในรูปของเงินเดือน เพื่อรองรับคุณภาพชีวิตที่ดีหลังเกษียณอายุ จึงจำเป็นต้องมีการวางแผนใช้จ่าย เพื่อเก็บออม และนำเงินออมไปลงทุนเพื่อสร้างผลตอบแทนที่เหมาะสม เพียงพอต่อเงินเฟ้อ หรือการปรับขึ้นราคาของสินค้าและบริการ
องค์ประกอบที่สำคัญประการหนึ่งของการวางแผนการเงินส่วนบุคคล คือ การบริหารความเสี่ยง ประกอบด้วย การหลีกเลี่ยงความเสี่ยง หรือ การซื้อประกันภัย โดยปัจจุบันประเภทประกันภัยที่ ลดหย่อนภาษีได้ ประกอบด้วย
1. ประกันชีวิต โดยสามารถลดหย่อนได้สูงสุด 100,000 บาทต่อปี แต่ต้องเป็นกรมธรรม์ที่มีระยะเวลาเอาประกัน ตั้งแต่ 10 ปีขึ้นไป และมีเงินคืนในแต่ละปีไม่เกิน 20% ของเบี้ยประกันภัยสะสม
2. ประกันชีวิตแบบบำนาญ ลดหย่อนได้เพิ่มอีก 200,000 บาท โดยกำหนดเงื่อนไขรับเงินคืนเป็นงวดหลังอายุ 55 ปี และจ่ายต่อเนื่องถึงอายุ 85 ปี
3. ประกันสุขภาพ สามารถลดหย่อนได้ไม่เกิน 25,000 บาทต่อปี ทั้งนี้รวมกับประกันชีวิตแล้วต้องไม่เกิน 100,000 บาท
4. ประกันสุขภาพของบิดามารดา ลดหย่อนได้ไม่เกิน 15,000 บาทต่อปี สำหรับบิดา มารดาทั้งสองรวมกัน โดยบิดา มารดาต้องไม่มีรายได้เกินเกณฑ์ยกเว้นภาษี
ที่ผ่านมารัฐบาลไม่ได้ปรับเพิ่มวงเงินในการลดหย่อนภาษีสำหรับค่าเบี้ยประกันภัย ขณะที่ค่าเบี้ยประกันภัยมีการปรับเพิ่มตามอัตราเงินเฟ้อ จากต้นทุนการให้บริการ เช่น ค่าตอบแทนแพทย์ พยาบาล หรือวัสดุ อุปกรณ์ทางการแพทย์ ดังนั้นเมื่อรัฐบาลมีแนวนโยบายแจกเงิน (Money Giveaway) มักมีการแสดงความไม่พอใจของคนชั้นกลางที่ต้องถูกหักภาษี ณ ที่จ่าย และไม่อยู่ในกลุ่มได้รับเงินอุดหนุนจากภาครัฐ อาทิ รัฐบาลได้ตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2567 ประมาณ 175,000 ล้านบาท ร่วมกับงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2568 ประมาณ 152,700 ล้านบาท ในการดำเนินโครงการแจกเงินหมื่นในปี 2568
สำหรับ ประกันอุบัติเหตุส่วนบุคคล (Personal Accident Insurance หรือ PA) คือประกันภัย ที่กำหนดเงื่อนไขการจ่ายจากอุบัติเหตุในชีวิตประจำวัน ไม่ว่าจะเป็นการบาดเจ็บเล็กน้อยหรือเหตุการณ์รุนแรงที่ส่งผลต่อสุขภาพและการใช้ชีวิตระยะยาว โดยพื้นฐานความคุ้มครองหลักของประกันอุบัติเหตุส่วนบุคคลจะครอบคลุม (1) ค่ารักษาพยาบาลจากอุบัติเหตุ เช่น ค่าผ่าตัด ค่ายา ค่าห้องพักผู้ป่วย (2) ค่าชดเชยกรณีเสียชีวิตหรือทุพพลภาพถาวร (3) ค่าชดเชยรายได้ระหว่างพักรักษาตัว ในกรณีที่ต้องหยุดงานเพื่อรักษาตัวจากอุบัติเหตุ (4) ค่าชดเชยการสูญเสียอวัยวะ ที่ผ่านมารัฐบาลไม่อนุญาตให้บุคคลหักค่าเบี้ยประกันภัยอุบัติเหตุส่วนบุคคล แต่กรณีประกันกลุ่ม ซึ่งเป็นไปตามระเบียบสวัสดิการของบริษัท สามารถใช้เป็นค่าใช้จ่ายของบริษัทก่อนคำนวณกำไรได้
อย่างไรก็ตามแนวโน้มการทำงานจากข้อมูล Job Thai และ Fast Work พบว่าในปี 2566 มีผู้ทำอาชีพอิสระมากกว่า 1.5 ล้านคนโดยมีกลุ่มอาชีพที่ได้รับความนิยม คือ สายเทคโนโลยี เช่น Developer, Data Analyst, UX/UI สายครีเอทีฟ เช่น Graphic Designer, Content Creator, Video Editor สายการตลาด อาทิ Digital Marketer, SEO/SEM, Social Media Manager หรือสายบริการเฉพาะทาง โดยแนวโน้มการทำงานแบบ Freelance จะเพิ่มขึ้น ภาครัฐจึงสมควรพิจารณาการสนับสนุนการวางแผนการเงินส่วนบุคคลของกลุ่มคนรุ่นใหม่กลุ่มนี้
ทั้งนี้ ในต่างประเทศที่มีสัดส่วนการทำงานของ Freelance เพิ่มสูงขึ้น สนับสนุนให้มีการใช้ประกันอุบัติเหตุในการบริหารความเสี่ยง ภายใต้การสนับสนุนของภาครัฐให้เป็นค่าใช้จ่ายที่สามารถนำมาลดหย่อนภาษีได้ อาทิ ประเทศสหรัฐอเมริกา แคนาดา ออสเตรเลีย (กำหนดจากประเภทประกันภัยที่กระทบต่อความสามารถในการสร้างรายได้) เยอรมันนี อินเดีย เป็นต้น
กล่าวโดยสรุป ประกันอุบัติเหตุเป็นเครื่องมือสำคัญสำหรับโครงสร้างตลาดแรงงานปัจจุบันของประเทศไทย ที่จำนวนผู้ทำอาชีพอิสระ หรือ Freelance มีจำนวนเพิ่มมากขึ้น การสนับสนุนให้มีการทำประกันอุบัติเหตุ โดยกำหนดวงเงินที่สามารถลดหย่อนภาษีได้โดยตรง แม้จะทำให้รัฐบาลขาดรายได้เงินภาษีไปบ้าง แต่เป็นการโอนภาระค่ารักษาพยาบาลจากงบประมาณของรัฐไปยังเอกชน ภายใต้การประเมินความเสี่ยงของบริษัทประกันภัย จึงน่าจะเป็นประโยชน์ต่อภาพรวมเชิงมหภาคของประเทศไทย