ผู้เชี่ยวชาญภาษีสนับสนุนภาษีบุหรี่อัตราเดียว ดันไทยเข้าสู่มาตรฐานสากล

วันจันทร์ที่ 15 ธันวาคม พ.ศ. 2568

ผู้เชี่ยวชาญภาษีสนับสนุนภาษีบุหรี่อัตราเดียว ดันไทยเข้าสู่มาตรฐานสากล


ตามที่อธิบดีกรมสรรพสามิตได้เปิดเผยเมื่อวันที่ 3 ธันวาคม 2568 ว่าอยู่ระหว่างการจัดทำรายละเอียดเกี่ยวกับการปรับโครงสร้างภาษีสรรพสามิตยาสูบเพื่อเสนอให้กระทรวงการคลังและคณะรัฐมนตรีพิจารณาให้แล้วเสร็จภายในเดือนมกราคม 2569 นั้น

นางมัลลิกา ภูมิวาร ผู้เชี่ยวชาญด้านภาษีสรรพสามิตและศุลกากรและอดีตที่ปรึกษาจากบริษัทเอกชนชั้นนำของประเทศไทยให้ความเห็นว่า “เห็นด้วยกับกระทรวงการคลังที่ต้องมีการปรับโครงสร้างภาษีสรรพสามิตบุหรี่เป็นอัตราเดียวอย่างเร่งด่วน เนื่องจากผลกระทบของการใช้โครงสร้างภาษีบุหรี่แบบ 2 อัตรา (เทียร์) โดยเรียกเก็บภาษีมูลค่าในอัตราร้อยละ 25 และร้อยละ 42 ของราคาขายปลีก สำหรับบุหรี่ราคาถูกและราคาแพง ซึ่งตั้งแต่ถูกนำมาใช้ในปี 2560 ได้ก่อให้เกิดผลกระทบทางลบต่อรายได้ภาษีรัฐที่ลดลงจากที่เคยเก็บได้ 6.8 หมื่นล้านบาท เหลือเพียง 4.7 หมื่นล้านบาทในปีล่าสุด เพราะมีโครงสร้าง 2 อัตราทำให้เกิดการบิดเบือนกลไกตลาด และหลีกเลี่ยงการเสียภาษีในอัตราสูง ทำให้รัฐเสียหายจากรายได้ที่หายไปจำนวนมหาศาล”

“เห็นได้ชัดว่าการใช้โครงสร้างภาษีสรรพสามิตหลายอัตราไม่ว่าจะ 2 หรือ 3 อัตราเพื่อปกป้องผู้ประกอบการในประเทศไม่ได้ผลตามที่คิด แต่กลับยิ่งส่งเสริมการแข่งขันราคาในกลุ่มราคาถูก จนกระทบต่อส่วนแบ่งตลาด เพราะไม่มีใครอยากเสียภาษีในอัตราที่สูงจึงเกิดการ “มุดเทียร์” ลงมาที่เทียร์ล่างกันเกือบหมด ในทางปฏิบัติแล้วปัจจุบันบุหรี่ส่วนใหญ่กว่าร้อยละ 95 ของการขายอยู่ที่เทียร์ล่างอยู่แล้ว โครงสร้างภาษี 2 อัตราจึงเป็นตัวเร่งผลักดันให้ผู้ประกอบการปรับกลยุทธ์ด้านราคาตามมาจนเกิดการแข่งขันอย่างรุนแรงกระจุกตัวที่เทียร์ล่าง เกิดกระทบทุกภาคส่วน รวมทั้งรายได้ภาษีเพราะทุกซองที่มุดมาจากเทียร์บน ทำให้เก็บภาษีตามฐานราคาขายปลีกได้น้อยลงนั่นเอง”

หากพิจารณาความสมดุลใน 4 ด้าน ที่กรมสรรพสามิตเคยใช้มาเป็นกรอบในการทำนโยบายภาษียาสูบในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา ได้แก่ ด้านการสร้างรายได้รัฐ การดูแลสุขภาพ การลดผลกระทบที่เกิดขึ้นกับอุตสาหกรรมยาสูบ และการควบคุมบุหรี่เถื่อนให้ไม่ทวีความรุนแรงขึ้น โครงสร้างภาษีใหม่แบบอัตราเดียวที่มีอัตราภาษีที่เหมาะสมกับกำลังซื้อของผู้บริโภคในปัจจุบันน่าจะตอบโจทย์ดังกล่าวดีที่สุด โดยนอกจากจะส่งผลดีต่อรายได้รัฐและด้านสุขภาพประชาชนแล้ว ยังช่วยให้ภาระภาษีของผู้ประกอบการอยู่ในระดับที่สามารถประกอบธุรกิจได้อย่างยั่งยืน โดยไม่ส่งผลกระทบต่อการเติบโตของบุหรี่เถื่อนอย่างมีนัยสำคัญ ตัวอย่างเช่นในปี 2566 ก็มีการปรับราคากันไปครั้งหนึ่งแล้วประมาณ 2-4 บาทต่อซอง ซึ่งไม่ได้ก่อให้เกิดการผันผวนในตลาดแต่อย่างใดเพราะราคาปรับขึ้นไม่มาก ตลาดรับรู้และไม่ได้เกิดการกักตุนสินค้าขึ้น

“ถึงเวลาแล้วที่ประเทศไทยต้องปรับโครงสร้างภาษีสรรพสามิตบุหรี่เป็นอัตราเดียว โดยผลจากการศึกษาต่อเนื่องกว่า 3-4 ปี รวมถึงมติคณะรัฐมนตรีที่กำหนดให้กรมสรรพสามิตศึกษาแนวทางการปรับโครงสร้างภาษีบุหรี่เป็นอัตราเดียวต่างระบุว่าภาษีอัตราเดียวมีความเหมาะสมที่สุด ทั้งนี้ ข้อมูลจากองค์การอนามัยโลกแสดงให้เห็นว่า มี 148 ประเทศที่ใช้ระบบภาษีบุหรี่อัตราเดียวในปัจจุบัน ในขณะที่อีก 29 ประเทศยังคงใช้หลายอัตรา หากไทยต้องการยกระดับประสิทธิภาพของนโยบายภาษียาสูบเพื่อแก้ไขข้อจำกัดด้านการคลัง การดำเนินการปรับโครงสร้างภาษีบุหรี่ให้มีความเป็นสากลจึงเป็นสิ่งที่ควรดำเนินการอย่างเร่งด่วน”



บริษัท สมาร์ท โกลด์ มีเดีย กรุ๊ป จำกัด SMART GOLD MEDIA GROUP CO.,LTD. ติดต่อสอบถาม โทร : 0893284192 , ID Line : @siamturakij และ ฝ่ายโฆษณา siamturakijadvertising@gmail.com
© 2013 สยามธุรกิจ