นายสุทธิพงษ์ ดำรงค์สกุล นายกสมาคมผู้ค้าอัญมณีไทยและเครื่องประดับ กล่าวว่า ตามที่คณะรัฐมนตรีมีมติเมื่อวันที่ 17 มกราคม 2560เห็นชอบมาตรการสนับสนุนให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางการค้าอัญมณีและเครื่องประดับของโลก โดยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันให้กับอุตสาหกรรมอัญมณีและเครื่องประดับเพื่อกระตุ้นให้สินค้าอัญมณีและเครื่องประดับสามารถขยายตลาดการค้าได้เพิ่มมากขึ้น รวมถึงได้มีมาตรการส่งเสริมการตลาดและผลักดันให้สินค้าอัญมณีและเครื่องประดับไทยให้เป็นสินค้าที่มีศักยภาพนั้น
โดยการสนับสนุนของภาครัฐในครั้งนี้ส่งผลดีต่ออุตสาหกรรมฯเป็นอย่างมาก ซึ่งจะทำให้อุตสาหกรรมฯสามารถแข่งขันกับประเทศต่างๆในอาเซียน และประเทศคู่ค้าอื่นๆได้โดยสมาคมฯคาดการณ์ว่าการส่งออกอัญมณีและเครื่องประดับในปีนี้จะมีอัตราการขยายตัวร้อยละ 5มูลค่าการส่งออกจะมีโอกาสเติบโตถึง 500,000ล้านบาทในปี 2561 แต่ทั้งนี้ต้องขึ้นอยู่กับปัจจัยทางเศรษฐกิจโลกด้วย
"สมาคมฯ มีความยินดีที่ท่านนายกรัฐมนตรี ท่านรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กระทรวงพาณิชย์ สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง และทุกภาคส่วน ที่ให้การสนับสนุนอุตสาหกรรมอัญมณี โดยให้ยกเว้นภาษีนำเข้าสินค้าอัญมณีและเครื่องประดับ ในตอนที่ 71 จำนวน 32 ประเภทย่อย ซึ่งหนึ่งในสินค้าที่ได้รับ คือ เครื่องเพชรพลอยและรูปพรรณ ที่สมาคมฯได้พยายามผลักดันมาเป็นเวลานาน และยังมีมาตรการอื่นๆที่ภาครัฐให้การสนับสนุนอุตสาหกรรมโดยการกำหนดหน่วยงานที่ดูแลชัดเจน โดยการสนับสนุนของภาครัฐในครั้งนี้จะเป็นการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันให้กับอุตสาหกรรมอัญมณีและเครื่องประดับของไทย ให้ก้าวไปสู่การเป็นศูนย์กลางการผลิต การค้าอัญมณีและเครื่องประดับของโลกได้ รวมถึงประเทศไทยจะสามารถเพิ่มส่วนแบ่งทางการตลาดในเวทีโลกได้มากขึ้นอีกด้วย ซึ่งในปัจจุบันมีส่วนแบ่งตลาดอยู่ประมาณ2 %เท่านั้น"
อย่างไรก็ดี ในส่วนของผู้ประกอบการจะต้องมีการปรับตัวโดยให้ความสำคัญในการพัฒนาเทคโนโลยีการผลิตและรูปแบบสินค้า เพื่อให้เข้าถึงพฤติกรรมของผู้บริโภคในแต่ละตลาดได้เพิ่มมากขึ้นอีกด้วย นอกจากนี้นายสุทธิพงษ์ กล่าวต่อไปว่านอกจากอุตสาหรรมอัญมณีไทยและเครื่องประดับจะได้รับประโยชน์จากมาตรการดังกล่าวแล้ว ธุรกิจเกี่ยวเนื่องอื่นๆ เช่น โรงแรม การท่องเที่ยว อาหาร เป็นต้น ก็ได้รับประโยชน์ด้วยเช่นกันและยังส่งผลให้การค้าอัญมณีไทยและเครื่องประดับ ก้าวเข้าไปสู่การค้าระบบเสรีมากขึ้น