“นู สกิน ประเทศไทย” เดินหน้าขับเคลื่อนธุรกิจสู่ออนไลน์เต็มรูปแบบรับพฤติกรรมผู้บริโภคยุคดิจิตอล ลั่น ไม่หวั่นภาวะเศรษฐกิจ มั่นใจตลาดความงามโตต่อเนื่อง เพราะความสวยหยุดไม่ได้ ล่าสุด สร้างปรากฏการณ์เหนือคู่แข่งส่ง นวัตกรรมสุดล้ำ “ageLOCMe” เทคโนโลยีเอจล็อก เพื่อการบำรุงผิวสูตรเฉพาะบุคคลรายแรกในไทย ชู เป็นผลิตภัณฑ์เรือธงของนู สกิน ปี 60 ตั้งเป้าผลิตภัณฑ์ใหม่นี้เพิ่มยอดขายสิ้นปีนี้ไม่ต่ำกว่า10%
นางวิภาดา ตั้งปกรณ์ ผู้จัดการทั่วไป บริษัท นู สกิน เอ็นเตอร์ไพร์ส (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวถึงภาพรวมธุรกิจขายตรงในปี 2560 นี้ว่า การแข่งขันในตลาดขายตรงจะเป็นไปอย่างเข้มข้น เนื่องจากเป็นปีที่จะมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วในการขับเคลื่อนธุรกิจเข้าสู่ยุคของดิจิทัลเต็มรูปแบบมากขึ้น ส่งผลให้การแข่งขันของธุรกิจขายตรงไม่ใช่เป็นเพียงการแข่งในตลาดเดียวกันอีกต่อไป แต่กำลังจะกลายเป็นการลงไปแข่งกับทุกตลาด ซึ่งเป็นโจทย์ท้าทายให้กับธุรกิจขายตรงหลายๆ เจ้าต้องมีการปรับตัวในการทำตลาดให้เข้ากับยุคสมัยเพื่อให้สามารถตอบโจทย์ผู้บริโภคได้ตรงจุดมากขึ้น ซึ่งมองว่าถ้าธุรกิจขายตรงทำการปรับตัวก็จะยังคงสามารถดำเนินธุรกิจไปได้อย่างดีในท่ามกลางสภาวะเช่นนี้ สำหรับนู สกิน เองเรามีความพร้อมจะปรับองค์กรตามโลก โดยปีนี้บริษัทจะเน้นการทำตลาดออนไลน์มากขึ้นถึง 70% การจัดกิจกรรมส่งเสริมการขายต่างๆ รวมถึงการโฆษณาประชาสัมพันธ์บนยูทูบ เพื่อปรับตัวให้สอดคล้องกับไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภคและเทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลงไปรวดเร็ว และออฟไลน์เหลือเพียง 30% เท่านั้น
“ในช่วง 3-4 ปีทีผ่านมา บริษัทจึงได้พัฒนาช่องทางการขายใหม่ๆ ผ่านทางออนไลน์เวปไซต์ของบริษัทซึ่งได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี ส่งผลให้มีฐานลูกค้าใหม่ๆ อายุต่ำกว่า 30 ปีเข้ามาใช้บริการในช่องทางนี้กว่า 20% โดยตั้งเป้าหมายจะเพิ่มเป็น 30% ในสิ้นปี จากเดิมที่เป็นกลุ่มอายุมากกว่า 35 ปี”
นอกจากนี้ในปีนี้บริษัทยังคงโฟกัสแบรนด์ในผลิตภัณฑ์กลุ่มเอจล็อกที่เป็นผลิตภัณฑ์หมวด แอนไท-เอจจิ้ง ที่ถือเป็นจุดเด่นแข็งของบริษัท ได้เปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ “เอจล็อก มี” (ageLOC Me) ซึ่งเป็นเครื่องมือนวัตกรรมใหม่ยุคดิจิทัล หรือเครื่องผสมครีมและเซรั่มที่ออกแบบสูตรสกินแคร์เฉพาะบุคคลรายแรกในไทย ราคาเครื่อง 21,400 บาท ที่มีให้เลือกถึง 2,000 สูตร โดยผู้บริโภคสามารถเลือกหรือกำหนดสูตรได้ตามความต้องการและเหมาะกับสภาพผิวเฉพาะบุคคลผ่านทางแอพพลิเคชั่นบนสมาร์ทโฟน เอจล็อก มี ซี ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ดูแลผิวที่ยังไม่มีคู่แข่งในตลาดและคาดว่าจะช่วยให้ยอดขายเติบโตขึ้นอีก 10% หลังจาก 2 ปีที่ผ่านมาได้ทดลองทำตลาดเฉพาะกิจมาแล้วกับตัวแทนจำหน่ายและผู้ทำธุรกิจ เพื่อเข้าใจและคุ้นเคยกับผลิตภัณฑ์ ส่งผลให้ยอดขายมีการเติบโตถึง 265%
“เราเล็งเห็นถึงศักยภาพของตลาดความงามในประเทศไทยที่ปัจจุบันมีมูลค่าสูงถึง 2 แสนล้านบาท และเติบโตอย่างต่อเนื่อง 8-10% ทุกปี แม้เศรษฐกิจจะชะลอตัว แต่ด้วยความเป็นผู้หญิงที่มีรักสวยรักงามก็ยังคงจับจ่ายซื้อเครื่องสำอางต่อเนื่อง อีกทั้งตลาดนำเข้าเครื่องสำอางในประเทศไทยมีการเติบโตอยู่ที่ 16.1% หรือคิดเป็นมูลค่า 51,487 ล้านบาท โดยประเทศสหรัฐอเมริกามีการนำเข้าเครื่องสำอางสูงเป็นอันดับ 3ทั้งนี้ปัจจัยการเติบโตมาจากพฤติกรรมของผู้บริโภคที่เปลี่ยนไป การเติบโตของสังคมเมืองและสังคมออนไลน์ช่วยกระตุ้นกำลังซื้อ ผู้บริโภคหันมาใส่ใจความเป็นเฉพาะบุคคลมากขึ้น นู สกิน จึงมองเห็นศักยภาพขององค์กรและความได้เปรียบด้านการแข่งขันทางการค้าในตลาดกลุ่มสกินแคร์ ที่ยังสามารถเติบโตได้อีกมาก”
ผู้บริหารกล่าวต่อว่า สำหรับสัดส่วนยอดขาย ปัจจุบันผลิตภัณฑ์ในกลุ่มเอจล็อกทั้งผลิตภัณฑ์ สกินแคร์ และผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร มีสัดส่วนรายได้คิดเป็น 70% ผลิตภัณฑ์กลุ่มสกินแคร์และผลิตภัณฑ์เสริมอาหารอื่นๆ มีสัดส่วนอยู่ที่ประมาณ 30% โดยในปีนี้ บริษัทตั้งเป้ายอดขายเติบโตเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องจากปีที่แล้ว ด้านสัดส่วนการเติบโตของผู้แทนจำหน่ายในปี 2560 จำแนกเป็นสมาชิกทำเนียบ 10 ล้านเหรียญสหรัฐ 3 บัญชีรายชื่อ สมาชิกทำเนียบ 5 ล้านเหรียญสหรัฐ 1 บัญชีรายชื่อ สมาชิกทำเนียบ 100 ล้านบาท 5 บัญชีรายชื่อ สมาชิกทำเนียบ 1 ล้านเหรียญสหรัฐ 21 บัญชีรายชื่อ และสมาชิกทำเนียบ 1 ล้านบาท จำนวน 927 บัญชีรายชื่อ
ทั้งนี้ ปัจจัยความสำเร็จของ นู สกิน มาจากความเชื่อมั่นของผู้บริโภคในแบรนด์และสินค้า เมื่อใช้แล้วมีการซื้อซ้ำและบอกต่อ ตลอดจนบริษัทมีทิศทางการขยายเครือข่ายเพื่อสร้างการรับรู้แบรนด์และฐานสมาชิกในกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่มีกำลังซื้อให้เพิ่มมากขึ้น มีการปรับกลยุทธ์เน้นทำการตลาดผ่านออนไลน์แบบเต็มรูปแบบ รวมถึงการกระตุ้นยอดสมาชิกและสร้างโอกาสทางธุรกิจ ซึ่งเชื่อมั่นว่าปัจจัยบวกในปีนี้จะทำให้ นู สกิน ประเทศไทย สำเร็จได้ตามเป้าหมายที่ตั้งไว้
