ไทยนำเข้าสารเคมีในปี 2559 ที่ผ่านมา 154,568 ตัน คิดเป็นเม็ดเงินกว่า 20,000 ล้านบาท ในขณะที่ข้อมูลจากสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร (สศก.)ย้ำว่าปี 2559 ประเทศไทยมีพื้นที่ภาคเกษตรประมาณ 149 ล้านไร่ มีแรงงานอยู่ในภาคการเกษตรประมาณ 17 ล้านคน สามารถผลิตสินค้าเกษตรเพียงพอต่อการบริโภคในประเทศ และยังสามารถทำรายได้จากการส่งออกถึงปีละ 1.22 ล้านล้านบาท ในจำนวนนี้ มีพื้นที่ทำการเกษตรอินทรีย์(ไม่ใช้สารเคมี)เพียง 3 แสนไร่ หรือคิดเป็น 0.17 เปอร์เซ็นต์ของพื้นทีทั้งหมดหรือ 148.7 ล้านไร่ที่มีการใช้สารเคมีป้องกันกำจัดศัตรูพืช เพราะ “ภาคการเกษตร” คืออู่ข้าวอู่น้ำ ปากท้องของชนชั้นการผลิตของประเทศไทย
แต่ทันทีที่ นพ.ปิยะสกล สกลสัตยาทร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ในฐานะประธานการประชุมคณะกรรมการขับเคลื่อนปัญหาการใช้สารเคมีป้องกันกำจัดศัตรูพืชที่มีความเสี่ยงสูงแถลงความคืบหน้าของการทำงานพร้อมระบุว่าที่ประชุมมีมติเห็นชอบให้ยกเลิกการใช้สารเคมีเกษตร 2 ตัวคือพาราควอต กับ คลอร์ไพริฟอส โดยให้จัดเป็นวัตถุอันตรายชนิดที่ 4 ไม่อนุญาตให้ใช้ ระหว่างนี้ไม่อนุญาตขึ้นทะเบียนเพิ่ม ไม่ต่ออายุทะเบียน ให้ยุติการนำเข้าภายในวันที่ 1 ธันวาคม 2560 และยุติการใช้สิ้นเชิง 1 ธันวาคม 2562 จากวันนั้น สร้างความสับสนให้แก่เกษตรกรและผู้ประกอบการเป็นอย่างมาก รวมถึงผู้เกี่ยวข้องในแวดวงเกษตรว่า อำนาจในการสั่งแบนมิใช่อยู่ในบทบาทของกรมวิชาการเกษตร กระทรวงเกษตรและสหกรณ์แล้วล่ะหรือ
โดย นายสุกรรณ สังข์วรรณะ เกษตรกรดีเด่นจังหวัดสุพรรณบุรี ปราชญ์ชาวบ้าน และเป็นประธานศูนย์เรียนรู้เพิ่มประสิทธิภาพการผลิต กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ที่เข้าร่วมการประชุมครั้งนี้พร้อมคำถาม และคำชี้แจงในฐานะเกษตรกรผู้ใช้สารเคมีโดยตรงว่า จากข่าวการแบนสารพาราควอตและคลอริไพริฟอสนั้น ขณะนี้เกษตรกรมีความห่วงกังวลถึงการบริหารจัดการวัชพืชในไร่น่าของเกษตรกรในอนาคตว่าจะทำอย่างไรต่อไป หรือเกษตรกรต้องหันไปใช้วิธีถอนหญ้าด้วยมือหรืออุปกรณ์กำจัดวัชพืชแบบดั้งเดิม ซึ่งหากเป็นรูปแบบดังกล่าวเขาได้ยกตัวอย่างให้เห็นภาพว่า หากต้องการจะถอนหญ้าในแปลงขนาด 1 ไร่ใน 1 วัน แรงงาน 1 คนสามารถถอนหญ้าได้ 16 ตร.ม./ชม. ถ้าต้องถอน 1 ไร่ต้องใช้แรงงาน 14 คน มีต้นทุนค่าแรงอยู่ที่ เฉลี่ย 300 บาท ดังนั้นหากต้องการถอนหญ้าในแปลงจะมีต้นทุนอยู่ที่ 4,200 บาท ต่อไร่ ในขณะที่ใช้สารเคมีจะมีต้นทุนอยู่ที่ 100 บาทต่อไร่ เกษตรกรใช้สารดังกล่าวเพียงเล็กน้อยเท่านั้น สุกรรณยังได้พูดถึง กลูโฟซิเนท ที่ฝ่ายเรียกร้องให้แบนได้เสนอเพื่อใช้เป็นสารทดแทนว่า เป็นสารตัวใหม่ที่เกษตรกรยังไม่คุ้นเคย และมีต้นทุนสูงกว่าสารตัวเดิมถึง 7.5 เท่า ในขณะที่ประสิทธิภาพด้อยกว่า วันนี้หากพูดว่าจะสั่งแบนสารดังกล่าว ในความเป็นจริงกรมฯ ได้สั่งแบนแล้วหลายตัว แต่ปรากฏว่าสารดังกล่าวเกษตรกรก็ยังสามารถหาซื้อได้จากหลังร้าน
“การสั่งแบนจึงไม่ใช่คำตอบเพราะสารเหล่านี้มีความจำเป็นในภาคการผลิต เกษตรกรต้องหามาใช้ให้ได้ ไม่มีหน้าร้านก็หาได้จากหลังร้าน วันนี้ถ้ารัฐสั่งแบนแล้ว สารเหล่านี้จะลงใต้ดิน จะไม่สามารถจัดเก็บภาษีได้ เป็นการสร้างปัญหาใหม่ขึ้นมา วันนี้ 17 ล้านครัวเรือนเป็นภาคการเกษตร นอกจากเป็นผู้ผลิตที่สัมผัสสารเคมีโดยตรงแล้ว ยังเป็นผู้บริโภคเช่นเดียวกับกลุ่มผู้มีความเสี่ยงอื่นตามที่คณะกรรมการขับเคลื่อนปัญหาการใช้สารเคมีฯ ออกมาอ้าง ดังนั้นปัญหาน่าจะอยู่ที่วิธีการบริหารจัดการสารเคมีมากกว่าความเป็นพิษ วันนี้ผมเองรู้สึกดีใจที่กระทรวงเกษตรฯ ยังเป็นของพี่น้องเกษตรกรไทยที่รับฟังพวกเราบ้างว่า เราคิดเห็นอย่างไร ไม่ใช่รับฟังข้อมูลจากคนที่เขาไม่ได้ใช้แต่มาสั่งว่าห้ามใช้”
โดยเขายังได้นำเสนอทางออกสำหรับการแก้ไขปัญหาการใช้สารเคมีไม่ถูกต้องว่า วันนี้รูปแบบการใช้สารเคมีของภาคการเกษตรเปลี่ยนไป คนใช้จริงสัมผัสกับสารโดยตรงกลายเป็นผู้มีอาชีพรับจ้างฉีดพ่น หากกรมฯ สามารถจัดหลักสูตรอบรมสอนการฉีดพ่นการใช้สารอย่างถูกต้อง พร้อมออกใบรับรองให้สามารถทำงานรับจ้างฉีดพ่นได้อย่างถูกกฎหมาย ปัญหาความเป็นพิษจากการสัมผัสจะลดลงไป ในขณะที่การขึ้นทะเบียนเกษตรกรจะช่วยคัดกรองการซื้อสารเคมีจากร้านค้าที่ได้รับการรับรองจากกรมฯ จะช่วยให้ปัญหาการรับพิษ หรือเฝ้าระวังการนำไปใช้ไม่ถูกประเภทลดลงไปได้
สอดคล้องกับ นายธรรมนูญ ยิ่งยืน เกษตรกรชาวไร่มันสำปะหลัง และข้าวโพดในพื้นที่อ.สีคิ้ว จ.นครราชสีมา ที่เข้าร่วมรับฟังในครั้งนี้ได้สะท้อนข้อคิดเห็นว่า วันนี้เป็นผลกระทบด้านสุขภาพและสิ่งแวดล้อม แต่ยังไม่มีข้อมูลถึงผลกระทบด้านเศรษฐกิจ สังคม ในขณะที่ผลกระทบด้านสุขภาพและสิ่งแวดล้อมยังเป็นข้อมูลที่เก็บตัวอย่างมาจากโรงพยาบาล ซึ่งต้องมีผู้ป่วยเข้ามารับการรักษาอย่างแน่นอน ยังไม่สามารถนำเป็นข้อมูลชัดเจนถึงสาเหตุความเจ็บป่วยได้ อยากให้ไปเก็บตัวอย่างจากเกษตรกรในแต่ละพื้นที่ ที่มีความหลากหลายของการผลิตการเกษตรแต่ละชนิด มีโอกาสใช้สารเคมีปัจจัยทางการผลิตจริงนำมาเปรียบเทียบจึงจะทำให้ข้อมูลมีความสมบูรณ์ขึ้น ส่วนข้อมูลในด้านอื่นๆ เช่น เศรษฐกิจนั้น หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเศรษฐกิจต้องออกมาพูดกันว่าวันนี้ภาคการเกษตรเราสามารถทำรายได้ให้ประเทศได้เท่าไหร่ มีการลงทุนด้านไหนไปบ้างอย่างไร
“ผมทำพืชไร่มีทั้งมันสำปะหลังกับข้าวโพด 2 ตัวนี้ต้องใช้สารเคมีอย่างเดียวในการดูแลเพื่อให้ได้ผลผลิตที่สูงและมีคุณภาพ ในสถานการณ์ที่ดินฟ้าอากาศไม่อำนวย สารเคมีเหล่านี้ช่วยได้มาก ทั้งเรื่องคุมวัชพืชและศัตรูพืช ซึ่งเกษตรกรในอุตสาหกรรมเกษตรใช้ตามคำแนะนำอย่างเคร่งครัด ใช้เป็นช่วงเวลาไม่ใช่ตลอดเวลา หากต้องมีการแบนจริง สารตัวใหม่ที่ใช้ทดแทนราคาไม่ได้ถูกกว่า ในขณะที่ต้นทุนส่วนอื่นสูงขึ้น แต่ราคาผลผลิตกลับตกต่ำสวนทางลงกว่า 20% จากที่รัฐกำหนดราคารับซื้อไว้ ผมมองว่าปัญหาไม่ใช่อยู่ที่ความเป็นพิษของมัน แต่อยู่ที่ระบบการบริหารจัดการ คือใครเป็นคนใช้ จัดเก็บอย่างไร ใครเป็นคนขาย ทุกคนต้องมีความรู้ที่จะนำไปใช้ ข้อมูลวันนี้อยากให้ภาครัฐนำไปใช้ให้เป็นประโยชน์เพื่อกำหนดมาตรการการบริหารจัดการให้ชัดเจน”