ผมเขียนถึงการร้องเรียนของเครือข่ายสหกรณ์การเกษตรที่เรียกร้องให้นำเอาโควตาการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์จากภาคราชการมาจัดสรรเพิ่มขึ้นแก่ภาคสหกรณ์การเกษตรครั้งแรกเพียงเพราะภาพเดียว เป็นภาพที่เด็กนักเรียนตามพ่อแม่ผู้ปกครองที่เป็นสมาชิกสหกรณ์มาช่วยร้องเรียน
เขียนครั้งที่ 2 เพราะระยะเวลาห่างกันไม่ถึงเดือนเขาก็ต้องมาร้องเรียนซ้ำในประเด็นเดิม
คราวนี้เขาแจ้งล่วงหน้าว่าจะมาร้องเรียนเป็นครั้งที่ 6 และจะมีการแถลงข่าว ผมก็เลยหาเวลาไปคุยกับคุณปฏิพล เกตุรัตนัง ประธานสหกรณ์การเกษตรนาบอนจำกัดที่เป็นแกนนำ ไปคุยเพราะอยากรู้ว่า ที่ร้องเรียนผ่านมา 5 ครั้ง ไม่มีความคืบหน้า ไม่มีใครได้ยินกันหรืออย่างไร แล้วก็อยากจะถามท่านว่า หากครั้งนี้ยังเงียบ ทางเครือข่ายสหกรณ์การเกษตรจะทำอย่างไรต่อไป
เนื้อหาสาระการร้องเรียนยังเป็นเรื่องเดิม จะมีปรับเปลี่ยนก็เรื่องราคารับซื้อไฟฟ้าในเฟส 2 คราวนี้คุณปฏิพลเสนอว่า น่าจะพบกันครึ่งทาง แทนที่จะลดฮวบฮาบจากหน่วยละ 5.66 บาทเหลือ 4.12 บาท ก็ควรจะลดลงมาเหลือซัก 5 บาทจะได้หรือเปล่า
ส่วนปลายทางต่อไปของการ้องเรียนก็คือ จะไปร้องศาลปกครองให้ช่วย เพราะครั้งนี้เป็นการมาร้องเรียนกันครั้งสุดท้ายแล้ว และได้ตัดสินใจแล้วว่าจะไม่ยกขบวนเกษตรกรทั่วประเทศเป็นหมื่น ๆ คนมาชุมนุมกดดันท่านนายกฯ ไม่อยากถูกมองว่าใช้กฎหมู่เหนือกฎหมาย อยากให้ผู้ใหญ่ในบ้านเมืองได้ตัดสินใจด้วยเหตุด้วยผลบนพื้นฐานความเหมาะสม
ถามท่านว่า ในเมื่อนายกรัฐมนตรีเป็นประธานคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) ทำไมไม่ร้องเรียนกับท่านที่เดียว เพราะต้นเหตุก็มาจาก กพช.ทั้งเรื่องการนำเอาโควตามาแบ่งเป็นภาครัฐภาคราษฎร์และเรื่องการปรับลดราคารับซื้อ คุณปฏิพลบอกว่าทางเครือข่ายต้องการให้ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้รับทราบถึงปัญหาและความไม่ชอบธรรมที่เกิดขึ้น
ถามท่านว่าอะไรบ้างที่ไม่ชอบธรรม ท่านบอกว่า การแบ่งโควตาให้ภาคราชการถึง 50% นั้น แบ่งโดยไม่คิด เพราะภาคราชการนั้นติดขัดเรื่องกฎหมายการร่วมทุน ไม่สามารถที่จะดำเนินการได้ อาจเปิดโอกาสให้เกิดการคอรัปชั่นได้ เนื่องจากอาจจะมีการนำเอาโควตาไปให้กับภาคเอกชน
ฟังแล้วก็ต้องแย้งว่า การได้รับการสนับสนุนจากกลุ่มทุนก็มีด้วยกันทั้ง 2 ฝ่าย ท่านก็เคลียร์ให้ฟังว่า ภาคประชาชนไม่มีข้อห้าม ภาคสหกรณ์การเกษตรสามารถที่จะขอรับการสนับสนุนจากกลุ่มทุนธุรกิจได้ แต่ต้องทำกันอย่างโปร่งใส เป็นธรรมต่อสมาชิก เป็นประโยชน์ต่อสังคม
เพราะฉะนั้น หากโครงการนี้ได้รับการสนับสนุนจากภาครัฐ ผมเชื่อว่าอีกไม่นานเราจะเห็นแผงโซลาร์เซลล์ติดเต็มหลังคาบ้านเรือนทั่วประเทศไทย โดยเฉพาะหมู่บ้านตามชนบทที่บริการของการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคยังมีปัญหาให้บริการได้ไม่ดีพอ
ซึ่งบ้านเราได้เปรียบทุกประเทศในอาเซียน มีพื้นที่มาก มีแสงแดดเยอะ พายุก็น้อยกว่าเขา สามารถที่จะพัฒนาการผลิตพลังงานแสงอาทิตย์ได้มากกว่าใคร