ถางไร่อ้อย ปลูก “อินทผาลัม”ส่งห้าง กิโลละ700 ปลูก 100 ไร่ไม่พอขาย

วันพฤหัสบดีที่ 13 กรกฎาคม พ.ศ. 2560

ถางไร่อ้อย ปลูก “อินทผาลัม”ส่งห้าง กิโลละ700 ปลูก 100 ไร่ไม่พอขาย


ที่ผ่านมาหลายคนต่างมีความเชื่อว่าอินทผาลัม ทั้งสายพันธุ์และสภาพแวดล้อม ไม่เหมาะสมกับประเทศไทยที่เป็นดินแดนเขตร้อนชื้น แตกต่างกับทะเลทรายอย่างสิ้นเชิง แต่ดูเหมือนเกษตรกรไทยยังคงเดินหน้าที่จะปลูก พยายามทดลองค้นคว้าสายพันธุ์อย่างต่อเนื่อง ทั้งภาครัฐและเอกชน เนื่องจากผลผลิตหรือราคารับซื้อค่อนข้างสูง

แต่วันนี้ กลุ่มผู้ปลูกอินทผาลัม ภาคตะวันตกWestern Date Palm GroupหรือWDPได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า “อินทผาลัม” สามารถปลูกได้ในพื้นที่ร้อนชิ้นอย่าง จังหวัดกาญจนบุรี

WDP เป็นการรวมตัวของกลุ่มเกษตรกร  3 จังหวัด คือ กาญจนบุรี ราชบุรี และสุพรรณบรี มีสมาชิกกว่า 30 ราย รวมปลูกประมาณ 20,000 ต้น จุดประสงค์เพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารซึ่งกันและกัน หวังพัฒนาอินทผาลัมเป็นพืชเศรษฐกิจที่แท้จริง

“ประวิทย์  เชาวานิชย์กุล” ประธานกลุ่ม WDP  เล่าว่า อาชีพดั้งเดิม คือ ปลูกอ้อยส่งโรงงานกว่า 200 ไร่ในพื้นที่ ตำบลช่องด่าน อำเภอบ่อพลอย จังหวัดกาญจนบุรี หลังจากที่ศึกษาอินทผาลัมมาระยะหนึ่ง พบว่า พื้นที่ของตนเองน่าจะเหมาะสมกับการปลูกพืชชนิดนี้ จึงทดลองพืชหลายสายพันธุ์ โดยเน้นผลผลิตสด เพราะว่าการจัดการง่าย ปรากฏว่า สายพันธ์ บาฮี (Barhi) เกิดจากเพาะเลี้ยงเนื้อเยื้อจากต่างประเทศ เป็นสายพันธุ์ที่เหมาะสมที่สุด เนื่องจากมีรสชาติ หวาน กรอบ อีกทั้งใช้ระยะเวลาปลูก 2 ปีครึ่ง ก็ทยอยให้ผลผลิตแล้ว โดยแต่ละต้นแทงช่อดอกรอบต้น ประมาณ 6-10 ช่อ รวมๆน้ำหนักไม่ต่ำกว่า 5 กิโลกรัมต่อช่อ

 “อินทผาลัม 1 ต้นให้ผลผลิตปีแรก เกือบ 50 กิโลกรัม สมมุติเราขายกิโลกรัมละ 500 บาท ก็ได้เงินกลับมาแล้ว 25,000 บาท คืนทุนได้เลย เมื่อผลผลิตออก 1 ปีแรก พอย่างเข้าปีที่สอง และสาม ผลผลิตแต่ละต้นเพิ่มขึ้นมากเรื่อยๆ มากสุดน่าจะเป็นช่วงอายุ 7 ปี คงจะสุดถึง 10 กิโลกรัมต่อช่อ”ประธานกลุ่ม WDP กล่าว

ในขณะต้นทุนการปลูกและการดูแลอินทผาลัมพันธุ์ดังกล่าวก็สูงเหมือนกัน โดยเฉพาะต้นพันธุ์จากประเทศอังกฤษสูงถึง 1,200 บาทต่อต้น และยังมีต้นทุนการจัดการเรื่องน้ำ-ปุ๋ย อย่างไรก็ตามพืชชนิดนี้ปัจจุบันราคารับซื้อยังดีมาก

ขณะนี้ทางกลุ่มฯ ได้ไปเซ็นสัญญา เอ็มโอยูกับห้างสรรพสินค้าเดอะมอลล์ไว้แล้ว คาดว่าผลผลิตชุดแรกจะออกสู่ตลาดในช่วงกลางเดือนกรกฎาคมนี้ ปัจจุบันมีราคารับซื้อ (ขายปลีก) 700 บาทต่อกิโลกรัม ซึ่งขณะนี้ผลผลิตมีปริมาณไม่ค่อยเพียงพอกับความต้องการ เพราะว่าทางกลุ่มฯเราเพิ่งเริ่มทำโครงการนี้

“สำหรับผมนั้นลงมือปลูกไปแล้ว 130ไร่บนพื้นที่ไร่อ้อยเดิม โดยปลูก 25 ต้นต่อไร่ (ปลูกระห่างเหมือนๆกับปาล์มน้ำมัน) ซึ่งขณะนี้ให้ผลผลิตไปแล้ว 800 ต้น และน่าจะทยอยให้ผลผลิตในปีต่อๆไป เพราะว่าปลูกไม่พร้อมกัน” คุณประวิทย์ กล่าว  และว่า จริงๆแล้ว อินทผาลัมสายพันธุ์นี้ หากปลูกที่ต่างประเทศหรือถิ่นกำเนิดเดิมจะเริ่มให้ผลผลิตเมื่อย่างเข้าสู่ปีที่ 5 แต่ที่นี่ 2 ปีครึ่งก็ให้ผลผลิตแล้ว แถมตลาดรับซื้อให้ราคาดีด้วย ดีกว่าปลูกพืชอื่นๆเยอะ โดยเฉพาะไร่อ้อยหลายเท่าตัวเลยทีเดียว

ด้าน “อนุรักษ์ บุญลือ” เซียนอินทผาลัมระดับประเทศ และ เป็นเลขาธิการกลุ่ม WDP  เปิดเผยว่าพันธุ์บาฮี เป็นสายพันธุ์ระดับโลก เป็นเบอร์หนึ่งหรือคิงส์ของอินทผาลัมที่รับประทานผลสด  เราเริ่มต้นจากการเพาะเม็ดมาก่อน แต่เมื่อนำมารับประทานแล้ว รสชาติของแต่ละต้นไม่เหมือนกัน จึงต้องนำสายพันธุ์บาฮีมาเพาะเลี้ยงเนื้อเยื้อ รสชาติจะเหมือนกันหมดทุกต้น 

ถิ่นกำเนิดของอินทผาลัมพันธุ์บาฮี นี้ชอบอากาศร้อน ซึ่งจ.กาญจนบุรี เหมาะสมที่จะปลูกสายพันธุ์นี้ เพราะอากาศร้อนในตอนกลางวันและหนาวในตอนกลางคืน เราปลูกเพียง 2 ปี 8 เดือนก็สามารถเก็บผลผลิตขายได้แล้ว เฉลี่ยแล้วถือว่าผลผลิต 3 ปี ก็ให้ผลผลิต เมื่อให้ผลผลิตแล้วจะให้ผลผลิตต่อไปอีก 120 ปี สูงได้ประมาณ 30 เมตร  แต่อินทผาลัมไม่ได้สูงเร็วเหมือนมะพร้าว จะค่อยๆ สูงไปเรื่อยๆ 

“ถ้าอยากรู้เรื่องอินทผาลัมเงินล้าน พันธุ์บาฮี ต้องไปงานสัมมนากันนะครับในวันที่ 9 ก.ค.นี้ ที่ต.ช่องด่าน อ.บ่อพลอย จ.กาญจนบุรี และทางกลุ่มWDP จะไปโรดโชว์ที่ห้างเดอะมอลล์ บางกะปิ ในวันที่ 20 ก.ค.นี้ ไปเจอกันได้ที่ห้างสรรพสินค้าเดอะมอลล์ครับ “เลขากลุ่ม WDP กล่าวทิ้งท้าย

///////



บริษัท สมาร์ท โกลด์ มีเดีย กรุ๊ป จำกัด SMART GOLD MEDIA GROUP CO.,LTD. ติดต่อสอบถาม โทร : 0893284192 , ID Line : @siamturakij และ ฝ่ายโฆษณา siamturakijadvertising@gmail.com
© 2013 สยามธุรกิจ