นางสาวชนิสา แก้วเรือน รองกรรมการผู้จัดการอาวุโส สายงานกิจกรรมการตลาดและธุรกิจสัมพันธ์ บริษัท สยามพิวรรธน์ จำกัด ผู้บริหารศูนย์การค้าสยามพารากอน กล่าวว่า จากสภาวะเศรษฐกิจที่มองว่าน่าจะขยายตัวได้ถึงระดับ 3-5% ในปีนี้ ซึ่งเรามองว่ากำลังซื้อนาฬิกาซึ่งเปรียบเสมือนเครื่องแต่งกายที่ช่วยเสริมบุคลิก และภาพลักษณ์ ที่ เรียกว่า “Smart Watch” จะเป็นที่สนใจมากขึ้น โดยยอดขายจะเติบโตสอดคล้องมากขึ้นตามกำลังซื้อและการเพิ่มขึ้นของกลุ่มคนชั้นกลางขึ้นไป โดยในปีนี้พบว่าสัดส่วนนาฬิกา Smart Watch ทั่วโลก รวมถึงประเทศไทยคิดเป็น 15%และ นาฬิกาทั่วไป 85% สัดส่วนการซื้อ นาฬิกา Smart Watch จะมีเพิ่มขึ้นตามกำลังซื้อของคนไทย ทั้งนี้ระดับราคาที่ผู้บริโภคนิยมเลือกซื้อจะอยู่ระหว่าง 50,000 -300,000 บาท เป็นสัดส่วนถึง 55% ช่วงราคาต่ำกว่า 50,000บาท คิดเป็นสัดส่วน 25% และราคามากกว่า 300,000บาทขึ้นไป คิดเป็นสัดส่วน 20%
ดังนั้น ทางสยามพารากอนได้ทุ่มงบกว่า 45 ล้านบาท เตรียมจัดงาน “สยามพารากอน วอทช์ เอ็กซ์โป 2017” ที่กำลังจะจัดขึ้นเป็นครั้ง 11 นี้ ทาง เพื่อใช้ในการจัดงานให้เป็นงานแสดงนาฬิกาที่ยิ่งใหญ่แห่งปี บนพื้นที่กว่า 13,000 ตารางเมตร ทั้งในศูนย์การค้าฯ และพารากอน ดีพาร์ทเม้นท์สโตร์ ภายใต้คอนเซ็ปต์ “The Legendary Timepieces” เพื่อกระตุ้นนักช้อปไฮเอนด์ที่ชื่นชอบการสะสมนาฬิกา และสำหรับการลงทุน ตลอดจนเพื่อให้เป็นงานที่นักช้อปสามารถมาเลือกซื้อนาฬิกาได้คุ้มค่าที่สุดแห่งปี โดยกลุ่มนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติเป็นเป้าหมายสำคัญที่ช่วยกระตุ้นยอดขายในงานนี้ โดยกลุ่มนักท่องเที่ยวที่มีกำลังซื้อโดดเด่นคือ กลุ่มชาวจีน ฮ่องกง และนักท่องเที่ยวแถบเอเชีย ทั้งนี้ คาดการณ์ว่าด้วยโปรโมชั่นที่พร้อมมอบส่วนลด และของสมนาคุณรวมกว่า 10 ล้านบาทในงานนี้จะทำให้เม็ดเงินสะพัดมากที่สุดตั้งแต่เคยจัดงานมาทุกครั้งถึงกว่า 360 ล้านบาทในปีนี้
ด้าน นายจักรกฤษณ์ กีรติโชคชัยกุล ผู้อำนวยการใหญ่อาวุโสบริหารสินค้า วอทช์ แกลอเรีย (Watch Galleria) บริษัท เดอะมอลล์ กรุ๊ป กล่าวว่า มูลค่าตลาดรวมนาฬิกาในประเทศไทยมีมูลค่าประมาณ 45,900 ล้านบาท แบ่งเป็น ตลาดลักซ์ชัวรี่ (500,000 บาท ขึ้นไป) มูลค่าตลาด 9,180 ล้านบาท คิดเป็น 20%, ตลาดไฮเอ็นด์ (100,000 – 500,000 บาท) มูลค่าตลาด 19,379 ล้านบาท คิดเป็น 42.22% เพิ่มขึ้นจากปีที่แล้ว 2 %, ตลาดระดับกลาง (20,000 – 100,000 บาท) มูลค่าตลาด 10,405 ล้านบาท คิดเป็น 22.67 % และ ตลาดแฟชั่น เทรนด์ (5,000 – 20,000 บาท) มูลค่าตลาด 6,935 ล้านบาท คิดเป็น 15.11 % พบว่ายอดขายนาฬิกาจากทั่วโลกได้มากระจุกตัวอยู่ที่ทวีปเอเชียถึง 49% รองลงมาคือ ทวีปยุโรป คิดเป็นสัดส่วน 36% ทวีปอเมริกาเหนือ 15% และอื่น ๆ อีกเพียง 2%
ทางด้านภาพรวมของ วอทช์ แกลอเรีย หรือแผนกนาฬิกา ภายในห้างสรรพสินค้ากลุ่มเดอะมอลล์ กรุ๊ป ในครึ่งปีแรกเติบโตประมาณ 4% และคาดว่าจะสามารถเติบโตได้10% ในช่วงครึ่งปีหลัง เนื่องจากผู้ประกอบการแบรนด์นาฬิกาชั้นนำทยอยออกคอลเลคชั่นใหม่ รวมถึงการร่วมมือกันของห้าง แบรนด์ และพันธมิตรทำโปรโมชั่น ข้อเสนอ สิทธิประโยชน์พิเศษ อย่างต่อเนื่อง โดยเทรนด์ในการเลือกซื้อนาฬิกาจะมุ่งเน้นที่โทนสี ฟ้า เขียว และเทา ที่กำลังมาแรง และเทรนด์ที่ได้รับความนิยมไม่เสื่อมคลายคือ นาฬิกาเรือนสตีล ที่สะท้อนถึงความมั่นคง และมุ่งมั่นปราดเปรียวของ ผู้สวมใส่
“ เรามองว่า งานสยามพารากอน วอทช์ เอ็กซ์โป ที่จัดขึ้นเป็นประจำทุกปี นับว่าเป็นงานที่ช่วยผลักดันการเติบโตของตลาดนาฬิกาทั้งในประเทศ และภูมิภาคเอเชีย แบรนด์นาฬิการะดับโลกให้ความสำคัญ สนใจตลาดเอเชียมากขึ้น โดยเฉพาะประเทศไทย ได้รับความสนใจเป็นตลาดหลักในเอเชีย มีการผลิตนาฬิกาตอบรับคนเอเชียมากขึ้น ทำให้สินค้ามีหลากหลายคอลเลคชั่น ส่งผลให้ยอดขายนาฬิกาเติบโตได้ดี ทั้งในกลุ่มผู้ใช้ นักสะสม นักลงทุน ”
ทางด้าน นาย มิโนรุ อิชิกุโระ กรรมการและรองผู้จัดการใหญ่อาวุโส บริษัท ไซโกวอตช์ คอร์ปอเรชัน จำกัด ประเทศญี่ปุ่น กล่าวว่า ทางบริษัทแม่ไซโกมองเห็นว่าตลาดในประเทศไทยถือว่าเป็นตลาดหลักที่ยังมีศักยภาพทีดีในอาเซียนของบริษัทอย่างมาก ไม่ว่าจะจากผู้บริโภคคนไทยและนักท่องเที่ยวต่างประเทศ โดยเฉพาะ คอลเลกชัน พรอสเพค PRODPEX ที่ได้เปิดตัวไปที่ผ่านมา โดยได้ใช้แบรนด์แอมบาสเดอร์ อนันดา เอเวอร์ริ่งเฮม เพื่อปรับภาพลักษณ์ของแบรนด์ ปรากฏว่าได้รับการตอบรับอย่างดี ส่งผลให้มีสัดส่วนการขายมากกว่า 30% จากยอดขายรวมในไทย
ทั้งนี้ ในปี 2560 นี้บริษัทจะเปิดตัวแคมเปญ “Explore The Unexpected” ซึ่งหมายถึง การเดินทางครั้งใหม่กับสิ่งท้าทายและเร้าใจกว่าเดิมเพื่อให้เป็นวินาทีที่น่าจดจำ โดยต่อยอดความคิดและคอนเซ็ปต์ให้สอดคล้องเป็นทิศทางเดียวกับแคมเปญปีที่แล้ว ซึ่งตรงกับทัศนคติกลุ่มเป้าหมายของเราคือเจนวาย (Gen Y) หรือกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่ต้องผ่านความท้าทายต่างๆ เพื่อที่จะประสบความสำเร็จ ฉะนั้น กลุ่มเป้าหมายของ SEIKO ในปีนี้จึงยังคงเป็นกลุ่มเจนวายที่มีไลฟ์สไตล์สนุกกับชีวิต และมุ่งไปที่ลูกค้าเพศชาย
โดยกลยุทธ์การตลาด มุ่งมั่นที่จะเติบโตด้วยนาฬิการุ่นที่ได้รับความสนใจและรุ่นลิมิเต็ดอีดิชัน โดยเฉพาะนาฬิกาดำน้ำ SEIKO PROSPEX การตอกย้ำจุดแข็งภาพลักษณ์ของแบรนด์ในด้านคุณภาพ รวมทั้งการสื่อสารที่ถูกต้องชัดเจนกับกลุ่มเป้าหมายโดยใช้แบรนด์แอมบาสซาเดอร์เพื่อสร้างกระแสความน่าสนใจในวงกว้าง และสนับสนุนการส่งต่อข้อความที่เราต้องการสื่อสารให้เข้าถึงลูกค้าเป้าหมาย เนื่องจากเรามีการทำวิจัยกลุ่มผู้บริโภค พบว่ากว่า 80% รับรู้แบรนด์จากอนันดาและคิดว่าอนันดาสามารถนำเสนอภาพลักษณ์ของ SEIKO ตามแคมเปญที่วางไว้ได้ดี ดังนั้นจึงสรุปได้ว่ากลยุทธ์การใช้แบรนด์แอมบาสซาเดอร์ประสบความสำเร็จอย่างดี
ส่วน นายฮารุทิตซึ อากาชิ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไซโก (ประเทศไทย) จำกัด ผู้นำเข้าและจำหน่ายนาฬิกาแบรนด์ไซโกและอัลบา จากญี่ปุ่น กล่าวเสริมว่า ภาวะเศรษฐกิจในไทยรวมในช่วง 6 เดือนแรกปีนี้ ยังไม่ค่อยดีนัก ส่วนไซโกเองนั้นช่วง 3 เดือนแรกยังไปได้ดีอยู่ แต่เดือนเมษายน-มิถุนายนตลาดเริ่มไม่โตเท่าไหร่นัก ส่งผลให้โดยรวม 6 เดือนแรกยอดขายไม่เติบโต โดยตั้งเป้าหมายยอดขายรวมบริษัทฯ ปีนี้ไว้ 10% เช่นเดียวกับปีที่แล้ว ซึ่งภาพรวมสัดส่วนยอดขายแยกเป็น ระดับราคา 30,000 บาทขึ้นไป 10% ราคา 15,000 บาทขึ้นไป 40% และต่ำกว่า 15,000 บาท 50% ซึ่งทิศทางหลังจากนี้ระดับราคา 15,000 บาทขึ้นไปจะเป็นตลาดที่เติบโตดี
อย่างไรก็ตาม บริษัทฯ คาดว่าในช่วง 6 เดือนหลังจากนี้ตลาดรวมน่าจะดีขึ้นเพราะเป็นช่วงหน้าขายนาฬิกาด้วย อีกทั้งบริษัทฯ ก็มีแผนการรุกตลาดอย่างเต็มที่ ทั้งในด้านการส่งเสริมการขายด้วยดอกเบี้ย 0% การทำกิจกรรมแคมเปญต่างๆ การออกนาฬิการุ่นใหม่ๆ ซึ่งในญี่ปุ่นมีออกมาประมาณ 100 กว่ารุ่น จะนำเข้ามาจำหน่ายในไทยประมาณ 80%
สำหรับในปีนี้ SEIKO จะขยายการโปรโมตไปยังคอลเลกชัน PREMIER (พรีเมียร์) ซึ่งเป็นรุ่นที่ไม่เพียงประสบความสำเร็จเฉพาะในตลาดประเทศไทย แต่ยังประสบความสำเร็จในตลาดโลก ด้วยกลไกหลักเป็นระบบสำรองพลังงานที่เรียกว่า “ระบบคีเนติก” ซึ่งเป็นลิขสิทธิ์เฉพาะแบรนด์ไซโกคิดค้นขึ้น งบการตลาดตั้งไว้ 10% ของรายได้ เพื่อใช้ในสื่อโฆษณาต่างๆ เราเพิ่มการใช้สื่อ Out-Of-Home อย่างมากมาได้ 2 ปีแล้ว ตอนนี้สื่อที่เติบโตเร็วที่สุดคือ ออนไลน์ เราจึงได้ใช้สื่อออนไลน์เพิ่มมากขึ้น และปีนี้ที่จะขยายไปยังสื่อโทรทัศน์เป็นครั้งแรก ร่วมด้วยการจัดกิจกรรมทางการตลาดต่างๆ อย่างสม่ำเสมอ