กรมการขนส่งฯ ร่วมมือกับ ขสมก. ปล่อยขบวนแถวรถตู้โดยสารใหม่ทดแทนกรณีรถตู้โดยสารประจำทางครบกำหนด อายุ 10 ปี พร้อมเปิด “ศูนย์บริการเบ็ดเสร็จรถตู้โดยสารประจำทาง” เพื่อติดตามและประเมินสถานการณ์การเดินรถเพียงพออย่างต่อเนื่อง ตลอด 24 ชั่วโมง ประชาชนเตรียมอ่วม! ขสมก.ปรับขึ้นราคาใหม่ จากเดิม 11-23 บาท เป็น 13-25 บาท มีผล 15 ต.ค. 61 เป็นต้นไป
นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม กล่าวว่า กรมการขนส่งทางบก ดำเนินการภายใต้กรอบยุทธศาสตร์ One Transport ของกระทรวงคมนาคม ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ(ขสมก.) บริษัท ขนส่ง จำกัด (บขส.) และ กองพลทหารม้าที่ 2 รักษาพระองค์ (พล.ม.2 รอ.) ดำเนินมาตรการแก้ไขกรณีรถตู้โดยสารประจำทางที่วิ่งในเขตกรุงเทพและปริมณฑล ครบกำหนดอายุ 10 ปี ใน 20 เส้นทาง จำนวน 487 คัน ไม่ให้ส่งผลกระทบกับประชาชนได้ให้องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) จัดรถตู้โดยสารที่ให้บริการในเส้นทางอื่นมาเสริมในเส้นทางที่มีรถตู้ไม่เพียงพอ
อีกทั้งได้จัดเตรียมปล่อยขบวนรถตู้โดยสารใหม่ ซึ่งผ่านการตรวจสอบและติดตั้งอุปกรณ์ตามมาตรฐานความปลอดภัยที่กรมการขนส่งทางบกกำหนด เช่น การติดตั้ง GPS Tracking ความสมบูรณ์ของระบบเบรก สภาพยาง ล้อ เข็มขัดนิรภัย ประตูฉุกเฉินหรือทางออกฉุกเฉิน ถังดับเพลิง ค้อนทุบกระจก รวมจำนวน 60 คัน เพื่อแสดงถึงความพร้อมให้บริการและเป็นการสร้างความมั่นใจให้กับประชาชน ในการใช้บริการรถตู้โดยสารใหม่ที่มีมาตรฐานความปลอดภัย ลดความเสี่ยงในการเกิดอุบัติเหตุ รวมทั้งได้มอบหมายให้กรมการขนส่งทางบกจัดตั้งศูนย์บริการเบ็ดเสร็จรถตู้โดยสารประจำทาง เพื่อให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบการในการแก้ปัญหาเรื่องแหล่งเงินทุนเพื่อจัดหารถใหม่ทดแทน
ด้าน นายพีระพล ถาวรสุภเจริญ รองปลัดกระทรวงคมนาคม หัวหน้ากลุ่มภารกิจการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านทางหลวง รักษาราชการแทน อธิบดีกรมการขนส่งทางบก กล่าวว่า กรมการขนส่งฯ ยังได้ประสานให้ ขสมก. จัดรถโดยสารปรับอากาศสำรองให้บริการรับ-ส่งผู้โดยสารตามจุดต่างๆ ซึ่งทุกจุดจอดรอขึ้นรถตู้โดยสารทั่วกรุงเทพมหานครและปริมณฑล พร้อมจัดเจ้าหน้าที่ตรวจการขนส่งทางบกลงพื้นที่ติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด ตลอด 24 ชั่วโมง เพื่อแก้ปัญหาและการสำรองรถไม่ให้ ประชาชนเดือดร้อนตลอดสัปดาห์มีรถตู้ให้บริการเพียงพอและไม่มีผู้โดยสารตกค้าง
ทั้งนี้ รถโดยสารที่มีสภาพรถที่เก่าและอุปกรณ์ใช้งานอย่างต่อเนื่องเป็นระยะเวลานานเกิน 10 ปี อาจทำให้เกิดความไม่ปลอดภัยจากข้อมูลของกรมการขนส่งทางบก สถิติการเกิดอุบัติเหตุของรถตู้โดยสารที่มีอายุ 1-10 ปี ระหว่างปี 2558 -2561 พบว่าอายุการใช้งานของรถตู้ที่มากขึ้น จะยิ่งเพิ่มโอกาสการเกิดอุบัติเหตุสูงขึ้น โดยรถตู้ที่มีอายุ 8 ปีขึ้นไปเกิดอุบัติเหตุสูงสุด 158 ครั้ง รองลงมาเป็นรถตู้ที่มีอายุ 7 ปี เกิดอุบัติเหตุ 87 ครั้ง ทั้งนี้ กระทรวงคมนาคม และกรมการขนส่งทางบก จึงมีนโยบายที่จะยกระดับมาตรฐานคุณภาพความปลอดภัย และการให้บริการด้วยรถโดยสารสาธารณะแก่ประชาชนอย่างเป็นรูปธรรมโดยได้รับความร่วมมือจากองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ และผู้ประกอบการรถตู้โดยสารในการปรับเปลี่ยนรถใหม่เพื่อให้บริการประชาชนในเส้นทางต่างๆ
ในด้านการช่วยเหลือผู้ประกอบการในการเปลี่ยนมาใช้รถโดยสารขนาดเล็ก กรมการขนส่งฯ ร่วมกับ ขสมก.บริษัท ขนส่ง จำกัด (บขส.) ธนาคารกรุงไทย จำกัด บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) จัดตั้ง “ศูนย์บริการเบ็ดเสร็จรถตู้โดยสารประจำทาง” ณ อาคาร 3 ชั้น 1 กรมการขนส่งทางบกเพื่อหาแนวทางให้ความช่วยเหลือตามข้อเรียกร้องเป็นรถโดยสารขนาดเล็กที่มีราคาไม่เกิน 2,000,000 บาท สินเชื่ออัตราดอกเบี้ยต่ำ ปรับลดเงินดาวน์จากเดิมกำหนด 20% และระยะเวลาในการผ่อนชำระที่นานขึ้นจากเดิมกำหนด 7 ปี รวมทั้งข้อเสนอที่ให้สามารถนำรถตู้คันที่หมดอายุ 10 ปี ขอใช้ดาวน์แทนเงินสดได้ซึ่งตามมติที่ประชุมรับทราบเพื่อนำไปใช้กำหนดมาตรการช่วยเหลือที่เหมาะสมและลดผลกระทบของผู้ประกอบการต่อไป
ขณะที่ นายประยูร ช่วยแก้ว รองผู้อำนวยการฝ่ายการเดินรถองค์การ รักษาการในตำแหน่งผู้อำนวยการองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) กล่าวเพิ่มเติมว่า ขสมก.ในฐานะหน่วยงานที่กำกับดูแลผู้ประกอบการรถตู้โดยสารจึงได้หาแนวทางเพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของผู้ใช้บริการ โดยการจัดรถโดยสารปรับอากาศสำรองไว้ กรณีรถตู้โดยสารให้บริการไม่เพียงพอ จำนวน 6 เส้นทาง นอกจากนี้ ขสมก.ยังได้หาแนวทางเพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการให้สามารถจัดหารถตู้โดยสารใหม่มาให้บริการประชาชนโดยเร็ว โดยได้ประสานธนาคารกรุงไทย เพื่อจัดทำไฟแนนซ์ในเงื่อนไขพิเศษให้กับผู้ประกอบการ พร้อมทั้งประสานกรมการขนส่งทางบก เพื่ออำนวยความสะดวก รวดเร็วให้กับผู้ประกอบการ ในการนำรถตู้โดยสารใหม่มาจดทะเบียน ซึ่งที่ผ่านมามีผู้ประกอบการแจ้งความประสงค์ขอเปลี่ยนรถตู้โดยสารใหม่กับ ขสมก. จำนวน 391 คัน ทั้งนี้ ขสมก. จะเร่งรัดให้ผู้ประกอบการนำรถตู้โดยสารใหม่มาจดทะเบียนอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้มีรถตู้โดยสารเพียงพอกับความต้องการใช้บริการของประชาชน
นายประยูร ยังกล่าวถึงกำหนดให้รถโดยสารปรับอากาศที่วิ่งให้บริการประชาชนในเขตกรุงเทพฯและปริมณฑลว่า ตามมติคณะกรรมการควบคุมการขนส่งทางบกกลาง กำหนดให้รถโดยสารปรับอากาศที่วิ่งให้บริการประชาชนในเขตกรุงเทพฯและปริมณฑล จัดเก็บค่าโดยสารในอัตรา 13 - 25 บาท แต่ที่ผ่านมา ขสมก.จัดเก็บค่าโดยสารในอัตรา 11 - 23 บาท ซึ่งเป็นไปตามนโยบายของกระทรวงคมนาคม ที่ต้องการดูแลภาระค่าใช้จ่ายด้านการเดินทางให้กับประชาชน มาตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ 2558 แต่ปัจจุบัน ขสมก.อยู่ระหว่างการพัฒนาการให้บริการรถโดยสาร ตามยุทธศาสตร์ของแผนฟื้นฟูกิจการด้วยการนำรถโดยสารปรับอากาศรุ่นใหม่ มีเทคโนโลยีทันสมัยและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม มาวิ่งให้บริการประชาชน ทดแทนรถโดยสารเดิมที่มีสภาพเก่าทรุดโทรม เพื่อให้ประชาชนผู้ใช้บริการได้รับความสะดวก ปลอดภัยในการเดินทางมากยิ่งขึ้น
โดยมติที่ประชุมคณะกรรมการบริหารกิจการองค์การ ครั้งที่ 6/2561 เมื่อวันที่ 19 กันยายน 2561 เห็นชอบให้ ขสมก.กำหนดอัตราค่าโดยสารรถปรับอากาศรุ่นใหม่ให้เป็นไปตามมติคณะกรรมการควบคุมการขนส่งทางบกกลาง ขสมก.จึงขอกำหนดอัตราค่าโดยสารรถปรับอากาศรุ่นใหม่ ทั้งรถโดยสารที่นำเข้ามาวิ่งให้บริการแล้ว และรถโดยสารที่กำลังทยอยเข้ามาเพิ่มในอนาคต เพื่อให้เป็นไปตามมติคณะกรรมการดังกล่าว
ซึ่งรถโดยสารปรับอากาศรุ่นใหม่ที่ ขสมก.นำมาวิ่งให้บริการประชาชน เป็นรถโดยสารชานต่ำ (Low Floor) มีการออกแบบในลักษณะ Universal Design พร้อมติดตั้งสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ ได้แก่ กล้อง CCTV, ระบบ GPS, ทางลาดสำหรับเข็นรถวีลแชร์ เพื่อให้ประชาชนผู้ใช้บริการทุกประเภท ทั้งคนพิการและผู้สูงอายุสามารถใช้บริการรถโดยสารได้อย่างสะดวกปลอดภัย โดย ขสมก.จะเริ่มใช้อัตราค่าโดยสารใหม่กับรถโดยสารปรับอากาศชานต่ำใช้เชื้อเพลิงก๊าซธรรมชาติ (NGV) จำนวน 100 คัน ตั้งแต่วันที่ 15 ตุลาคม 2561 เป็นต้นไป ซึ่งปัจจุบันรถโดยสารดังกล่าววิ่งให้บริการในสาย 20, 21, 37,105, 138 และสาย 140 ส่วนรถโดยสารเก่าทั้งรถธรรมดาและรถปรับอากาศ ยังคงใช้อัตราค่าโดยสารราคาเดิม